ปีศาจของไทย | ครูเหม เวชกร เรื่อง ศาลาทางเปลี่ยว (ตอนที่ ๒)
ความเดิมก่อนหน้า – ศาลาทางเปลี่ยว ตอนที่ ๑
ผมใจสั่น แน่แล้วไม่ผิดตาผิดใจไปได้ มันคือหัวขโมย การแต่งตัวของเจ้าคนใหม่ก็เห็นอยู่กับตาว่าเป็นคนแถวนี้ เราสองคนเป็นเหยื่อของมันแน่ ยกผมออกเสียก่อนคือตัวเท่าสุนัข แต่มันสามคนร่างกายใหญ่ทั้งนั้น น้าทิมคนเดียวทานอะไรมันอยู่ ผมใจเต้นตูมๆ น้าทิมกำมีดคุมเชิง แกคงกลัวเหมือนกัน สามคนใหญ่ๆ ไม่ใช่เล็กน้อย ถ้าไม่มีแรงเท่าช้างก็อย่าพูดเลย
มันแกล้งทำไม่เอาใจใส่ต่อเราตามเคย สามคนคุยกันเสียงขรม ไม่เคยเหลียวมาทางเราเลย มันตั้งวงคุยเป็นสามเหลี่ยมหน้าจั่ว งัดเอาเรื่องอะไรต่ออะไรมาคุยจนแทบจำไม่ไหว บางครั้งหยุดเงียบไปคล้ายหมดเรื่องคุย แต่แล้วก็กลับคุยขึ้นมาอีก
“แหม! อ้ายทิด เมื่อคืนวานข้าคิดว่าผีเล่นงานข้าเข้าแล้ว แต่ลงท้ายกลายเป็นแมวไป” เจ้าคนหนึ่งพูด ทำสุ้มเสียงคล้ายขันตัวเอง
“ทำไมวะ?” อีกคนซัก
“ทำไมล่ะ ตาฝาดไปน่ะซี ให้ตกนรกวะ ตอนพลบค่ำเมื่อวานนี้แหละ ข้าลงจากบ้านไปห้างเฝ้าควาย เจ้าแมวเปรตมันหมอบอยู่ข้างทาง พอเดินไปจะถึงตัว มันมาโดดผ่านหน้าไป ดูเห็นเป็นม้าดำวิ่งผ่านหน้า แหม! เว้ย ตกใจยืนตัวแข็ง” มันเล่าจบแล้วหัวเราะขันตัวเอง แล้วอีกสองคนก็เลยหัวเราะตามไปด้วยอย่างสนุก
“ข้าซิถึงจะถูกจังๆ ให้ตายซิ พูดแล้วขนลุก” อ้ายอีกคนพูดบ้าง พอได้จังหวะดีก็พูดต่อเป็นเชิงยกย่องตัวเอง
“ผ่าซิ ถ้าไม่ใช่ข้าละก็จับไข้หัวโกร๋นเลยว่ะ”
“โดนเข้าจริงๆ เรอะ” เจ้าคนพิงเสาถาม
“เออ! จริงซิ จั๋งหนับเลย ให้กูตายซิเอ้า” สบถกำกับรับรองคำไปเลย “ติดตาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ กูปอดกระเส่าเลย วันนั้นเดือนหงายยังงี้แหละ วันนั้นไปธุระที่บ้านหัวตะพานพบเกวียนผ่านมา”
“เกวียนอะไรวะกลางคืน”
“ไม่รู้สิ กูไม่เห็นมีอะไรบรรทุกมาในเกวียนเลย แต่กูไม่เอาใจใส่หรอก จะขอแต่โดยสารมันมาทางนี้เท่านั้น พอถามคนขับ มันก็บอกจะมาทางเดียวกัน เหมาะเลย ข้าเลยขอนั่งมาด้วย เฮ้ยเว้ย อ้ายคนขับมันแต่งตัวพิลึกว่ะ หน้าร้อนยังงี้แหละ มันนั่งห่มผ้าฝ้ายและคลุมหัว” พูดถึงตอนนี้หยุดหัวเราะ
“กูแทบเป็นลมตายแทนมันว่ะ พอเห็นมันคลุมผ้า หรือว่ามันจะกำลังจับไข้ แต่ก็ไม่ใช่ว่ะ เพราะพูดคุยกันเสียงอย่างคนธรรมดานี่ ไม่มีทีท่าว่าป่วยไข้เลย แต่เฮ้ย กูนั่งมา-นั่งมา เกวียนผ่านหมู่บ้าน หมาพากันหอนเสียงหลง” เจ้าคนเล่าเรื่องหยุดเล่า ทำเสียงหมาหอนประกอบเรื่อง ทั้งๆ ที่มันเป็นคน แต่มันทำเสียงหมาหอนเหมือนเหลือเกิน เสียงเยือกเย็นจับเข้าไปในทรวง ผมชักกลัวไปตามที่มันเล่าด้วย
“กูชักใจไม่ดีเว้ย” มันเล่าต่อ “มันพิสดารนักเชียวอ้ายทิด หมามันวิ่งหอนตามเกวียนน่ะซี กูขนลุกทั้งตัว พอเกวียนเราเลยบ้านมาแล้ว หมาก็หอนอยู่ไกลๆ ไล่ตามมา กูหลุดปากถามมันออกไปโดยไม่ตั้งใจว่า หมามันหอนทำไมกันนะ ชั้นแรก อ้ายคนขี้หนาวนิ่งเฉยสักอึดใจ มันจึงพูดว่า หมามันเห็นผีถึงหอนรู้ไหมล่ะ กูสะดุ้ง หันดูมัน นึกในใจว่าผีท้องทุ่งหรือผีอะไรกัน ก็เกวียนไม่มาทำไมมันไม่หอน
ปากกูอยู่ไม่สุข ถามออกไปอีก ผีที่ไหนกัน มีแต่เรานั่งเกวียนมา มันก็ตามหอนนี่ ก็มันเห็นผีน่ะซี กูชักเคืองโว้ย พูดบ้าๆ ทั้งนั้น ค่ำมืดกลางทุ่งเวิ้งว้างดันพูดเล่นคะนองปาก จึงเตือนมันออกไปว่า อย่าพูดเล่นน่า เวิ้งว้างใจไม่ดี พอกูพูดจบ มันหัวเราะคล้ายเยาะ กูเลยนิ่ง ถ้ามันเป็นอย่างมึงๆ ยังงี้ กูด่าแล้วผ่าวะ แต่นี่มันเป็นเจ้าของเกวียน เราอาศัยมา จำเป็นต้องนิ่ง นึกเคืองใจว่า มันจะพูดเล่นพูดจริงก็ตาม ถ้ากูเป็นคน มันก็เป็นผีน่ะซี เพราะทั้งเกวียนก็มีกันเพียงสองคน
ลงท้ายอ้ายเจ้าของเกวียนหัวเราะอีก เฮ้ย! กูอยากเตะเสียเต็มประดา มันกวนเอาการ พอมันหยุดหัวเราะมันก็พูดว่า ไม่เชื่อหรือว่าผี พอได้ยินอย่างนั้นก็พูดไม่ถูกว่ากลัวหรือโกรธ ใจคอตึ้กตั้ก มันพูดขาดคำเท่านั้น เฮ้ยเว้ย ให้กูตายไปเดี๋ยวนี้ ตัวมันสูงขึ้นผิดธรรมดา ให้กูตายจากไปวะ ไม่พูดเท็จเลย มันเป็นผีจริงแล้ว มันลงจากเกวียน พอยืนกับดินตัวสูงเท่าต้นตาล กูตัวแข็งเลย อ้ายเปรตนั่นไม่ทำไมกู มันหันหลังเดินเข้าดงไม้ กูไม่ไหวแล้ว โดดจากเกวียนได้ วิ่งเสียลมออกหู”
พอจบคำเล่าของเจ้าคนนั้น อีกสองคนก็หัวเราะคนอย่างขบขัน ผมฟังอยู่ห่างๆ ชักเปลี่ยนใจหวาดระแวงเกรงการเป็นผู้ร้ายของเจ้าสามคนนั่น กลับสนใจฟังเรื่องผีและชักกลัวตามที่มันเล่า แม้แต่มันเล่าเป็นสนุกๆ แต่ก็น่ากลัว เพราะเรากำลังอยู่ที่ศาลาเปลี่ยวกลางคืน มองไปทางไหนก็ทุ่งเวิ้งสงัดเงียบ
ค่อยๆ เลื่อนกายพ้นร่องห่างเข้าชิดน้าทิม ซึ่งแกก็ฟัง แต่นั่งเฉยมือกุมมีดเสมอ แกคงคิดว่าเจ้าพวกนั้นหานิยายมาเล่าให้เราเพลินแล้วก็เลยหลับ มันทั้งสามก็จะเอาข้าวของเราไปหมด ส่วนผมไม่ง่วงเลยคืนนั้น แม้จะเดินมาเพลีย ความเพลียหายไปดังปลิดทิ้ง ใจกลับมาห่วงโจรกรรมและผีๆ สางๆ
“อ้ายเรื่องหมาหอนละมันเย็นนักฮิ” เจ้าคนหนึ่งพูด
“อือ กูไม่ชอบเลยว่ะ”
พอมันพูดขึ้น เสียง “บู่…บู๋…โบ๋…” อ้ายอีกคนทำเสียงหมาอีก มันช่างทำเหมือนราวกับเราได้ยินหมาหอนจริงๆ มันช่างเยือกเย็นถึงกับขนลุก และเจ้าอีกคนก็ชอบสนุกทำเสียงนกแสกร้อง มันก็ทำเหมือนอีก ดังแซ้กยาว คล้ายๆ นกอยู่บนท้องฟ้าจริงๆ ถ้าไม่เห็นว่ากลุ่มคนนั้นทำเสียงเล่น เพราะว่านกกลางคืนนั้นบินร้องผ่านศาลาไปมา และหมาก็หอนรับกันอยู่เป็นจังหวะ ดังว่าภูตผีปิศาจกำลังมาจริงๆ
ไม่เห็นสนุกตรงไหนเลย ที่มันทำเสียงเหล่านั้นเล่น คนเรานี่ช่างมีแปลกๆ จะพูดจะเล่นอะไรไม่เข้าหูมนุษย์ อ้ายอีกคนทำเสียงคนหัวเราะอย่างแหบแห้งกับเสียงหมาเสียงนก เสียงมันแหบฟังดูน่าเกลียดอย่างร้ายกาจทีเดียว มิหนำยังลุกขึ้นเดินเอาผ้าคลุมหัว ก้าวเท้าไปงุบๆ แข็งๆ ดังผีดิบที่ใครเคยเล่าให้ฟัง ปากก็หัวเราะบ้าง กระแอมบ้าง มันทำอย่างกับว่าเราเห็นปิศาจจริงๆ แล้วมันก็หยุด หัวเราะกันอย่างขบขัน
“มันจะทำให้เรากลัว” น้าทิมกระซิบบอกผมเบาๆ ผมได้สติ คิดได้ว่ามันจะให้เรากลัวแล้วก็ไม่อยากอยู่บนศาลานี้กระมัง? แต่มันจะทำอย่างนี้ทำไม ถ้าเราหนีไป มันจะได้อะไรจากเรา มันสามคนไม่เอาใจใส่ใครทั้งนั้น ดังว่ามันเป็นเจ้าของศาลา นึกจะทำอะไรก็ทำตามชอบใจ หรือมันคิดวิธีหาเรื่องพาลกับเรา ถ้าเราไม่พอใจ มีเสียงขัดกันขึ้น จะได้วิวาทกับเรา แล้วเลยแย่งชิงเรา?
พวกมันหยุดการแสดงและหยุดพูดไปนาน ผมค่อยสบายใจขึ้น น้าทิมคงนั่งคุมเชิงอยู่อย่างเดิม เพราะยังคาดไม่ถึงว่ามันจะทำอะไรอีกต่อไป แต่ในครู่นั้นเอง เจ้าคนที่นุ่งโสร่งผืนเดียวลุกขึ้นยืนและร้องว่า
“เฮ้ย ถ้าผีมายังงี้ เอ็งจะว่าอย่างไร?”
พร้อมกับที่มันพูด มันชูมือขึ้น โอ๊ยคุณพระช่วย นั่นมันอะไรกัน มือที่มันยกชูนั้นโตใหญ่อย่างที่ไม่น่าจะเป็นได้ มือมันยาวเกือบติดเพดานศาลา ผมใจหายวูบ น้าทิมผงะมาติดผม ผมจังงังดังถูกมนต์ จ้องดูมันจนตาไม่กะพริบ เราผิดท่าเสียแล้ว อ้ายสามคนมันเป็นใคร? ไม่ได้การเสียแล้ว มันหัวเราะกันเองอย่างชอบอกชอบใจ อ้ายสองคนที่นั่งดูพูดพร้อมกันว่า
“น่ากลัวออกจะตาย ทำออกมาได้”
อ้ายคนมือโตทำท่าคว้าอ้ายสองคน อ้ายสองคนทำลุกหนีร้องเสียงโกรธๆ
“เล่นอะไร! อ้ายบ้านี่ ใครๆ เขาจะหาว่าเป็นผีจริงๆ” พูดแล้วมันออกวิ่งหนี อ้ายมือโตไล่ตาม
โอย! พ่อแม่ทั้งหลาย ผมจำติดตา เหลือจะทนทานแล้ว ตัวสั่นดังจับไข้ กอดน้าทิมแน่น อ้ายสองคนที่ลุกหนีนั้นร่างกายมันสูงเกือบยันเพดานหลังคา ผมร้องออกมาไม่รู้ตัว พวกมันหนีและไล่กันโดดพ้นศาลาไป วิ่งหนีไปร้องไป อ้ายมือโตก็ไล่ไป พลางหัวเราะอย่างสนุก และหยิบกระเบื้องบนหลังคาศาลาขว้างกัน แล้วก็วิ่งหายไปในท่ามกลางแสงจันทร์
น้าทิมหยิบห่อของแล้วฉุดมือผมวิ่งลงบันไดศาลา พอถึงพื้นดินก็วิ่งกันเหยียดไปตามทางเกวียน ผมยึดชายเสื้อน้าทิมไว้แน่น วิ่งตามไม่ลดละ แม้น้าทิมจะเป็นผู้ใหญ่กว่าก็วิ่งทันๆ กัน วิ่งไปเหลียวหน้าเหลียวหลังไม่หยุดหย่อน มาถึงริมน้ำตำบลหัวดุมได้เร็วเกินคาด มีบ้านหนึ่งยังไม่นอน จุดไฟสว่างอยู่ ได้เข้าอาศัยเขา เล่าเรื่องให้เขาฟังทั้งๆ ตัวสั่นเทา
เจ้าของบ้านรับเราเข้าอาศัยแล้วรีบปิดประตูบ้าน เพราะเกิดกลัวผีจะตามไปบ้านเขา ผมกับน้าทิมนอนไม่หลับ เจ้าของบ้านหาผ้าห่มให้ห่ม คิดจะคลุมโปง แต่ไม่ไหว ร้อนเหลือประทัง ทนตาแข็งอยู่จนตลอดคืน เช้าขึ้นล่ำลาเจ้าของบ้านพร้อมขอบบุญขอบคุณเขา แล้วลงเรือกลับบ้าน
เหม เวชกร