บักจีเหริน | เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจากญาติของแฟนผม เมื่อตอนที่ผมไปเที่ยวบ้านเธอครั้งแรก แต่ปัจจุบันพี่คนนี้เสียชีวิตไปได้หลายปีแล้วครับ เนื่องจากดื่มสุรารวงข้าวหนักมากจนนอนไหลตายไปเลย แกชื่อ เคน ครับ แกเล่าให้ฟังว่า
สมัยแกเป็นหนุ่มๆ ก็ตามประสาคนบ้านนอกนั่นล่ะ ชอบไปหาอยู่หากิน จับปลา หากบ ไต่หนูตอนกลางคืน ที่สำคัญแกชอบไปคนเดียวเพราะง่วงอยากนอนเถียงนาก็นอนได้ แกเป็นคนที่มีนิสัยขี้เล่นทะลึ่งตึงตัง ชอบหยอกคนนั้นคนนี้ไปทั่ว เลยมีแต่คนเรียกแกว่า “บักจีเหริน”
คราวหนึ่งไปเที่ยวดูหนังกลางแปลงที่หมู่บ้านใกล้ๆ โดยเป็นรถขายยากับน้ำปลาตราหน่อไม้ที่นำมาฉาย เลยมีโอกาสไปรู้จักกับเพื่อนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาชวนแกไปกินเหล้าต่อที่บ้าน พอหนังจบประมาณห้าทุ่มกว่า แกกับเพื่อนใหม่ก็เดินกลับมาบ้าน นั่งดื่มกินกันจนหลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็เช้าแล้ว
เพื่อนเจ้าของบ้านเอ่ยปากชวนแกไปถวายจังหันพระที่วัดป่าตอนเช้า แกตกลงไปด้วยเลยพากันปั่นรถถีบผ่านนาทามจนถึงวัด ยังคงเป็นเหมือนวัดป่าแบบดั้งเดิม คือเงียบและมีป่าไม้รอบวัด มีบ่อน้ำใหญ่ท้ายวัดซึ่งมีพื้นที่ส่วนหนึ่งยื่นออกไปนอกวัด แกไปยืนดูบ่อน้ำ เห็นปลากระโดดไปมาเลยคิดว่าน่าจะเยอะมากปลาในบ่อน้ำนี้
หลังจากกลับมาจากวัด แกก็ขอตัวกลับไปหมู่บ้าน แต่ความคิดในหัวคือคืนนี้จะย้อนกลับมาเอาปลาในบ่อน้ำนั้น
เวลาล่วงเลยไปจนถึงช่วงพลบค่ำ แกเตรียมอุปกรณ์มา มีกระสอบ ตาข่าย ไม้ไล่มอง แกเดินลัดเลาะมาตามคันนา ผ่านนาทามทางเก่าจนมาถึงบ่อน้ำท้ายวัด เวลาตอนนั้นน่าจะประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ แกมองหาทางที่จะลงไปเอาไม้ปักและเอาตาข่ายไปขึง พลัน! ก็ได้ยินเสียง
“มาหลอยลักเอาปลาในบ่อวัด บ่ย่านบาปติ๊หล่า”
แกหันกลับไปดู เห็นเป็นลุงแก่ๆ คนหนึ่ง แต่หน้าตาแบบน่าเกลียด ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขาก๊วย ผ้าขาวม้าคาดเอว กำลังยืนสูบยาเส้นอยู่
“โอ้ยพ่อลุง! มันเลยเขตวัดออกมาละเด้นั่น ปลากะออกสิหลาย ขอจักกระสอบบ่ได้ติครับ?”
“แต่นี่มันเขตอภัยทาน ละเนื้อที่บ่อส่วนใหญ่กะยังอยู่ในวัด เซาสา บ่ต้องเอาดอก”
“ข้อยกะถือของมาตั้งไกล ให้เอาปลาแนเถาะ ละลุงเป็นสัปเหร่อหรือมัคทายก คือสิมาห้าม!”
“กูบ่แมนหยังจักอย่าง กูเป็นผี!”
“หื้อ! ใหญ่กะหาเว้าไปทั่วทีปทั่วแดน ผีหยังสิมาหาเว้านำคน สิมาหลอกข้อยติ บ่แมนเด็กน้อยเด้อ”
แล้วแกก็ลงไปเอาไม้ปักที่ฝั่ง ก่อนเอาตาข่ายขึงแล้วถือไม้อีกอันเพื่อที่จะว่ายข้ามไปอีกฝั่ง พอข้ามไปถึงอีกฝั่งแล้วก็ขึ้นไปนั่งพัก แกหันไปก็ตกใจ เพราะลุงคนนั้นมานั่งสูบยาข้างๆ แกอีกแล้ว
“จั่งได๋ละหมอ เมื่อยติ?”
“ครับใหญ่ ว่าแต่เจ้ามาตอนได๋นี่ ข้อยว่ายน้ำมายังเห็นอยู่ฝั่งนั่นอยู่เลย”
“กะกูบอกมึงแล่วว่ากูเป็นผี กูกะมาไวกว่ามึงล่ะน้อ”
“คำกะผี สองคำกะผี ตั๋วเด็กน้อยเถาะพ่อใหญ่ อีกอย่างข้อยกะบ่ได้เอาหลายแค่กระสอบนึง พอได้เอาไปคั่วตากแห้งกะต้มแกล้มเหล้าขาวกะพอ”
“บ๊ะ! บักผีคั่วไส้มึงเอ้ย คือมักส่อแท้ บักจีเหริน”
“ข้อยขอเด้อใหญ่”
“มึงอยู่นี่เด้อ เดี๋ยวกูสิไปเอาปลามาให้เอง”
“ไหวบ้อละพ่อลุง เดี๋ยวตายน้ำยากผมอีกล่ะ”
“กูบ่มีทางตายอีกเทือดอก เพราะกูเป็นผีเปรต! หึหึ”
ว่าแล้วลุงแกก็ค่อยๆ เดินไปที่ริมบ่อ แล้วลื่นล้มหงายท้องขาชี้ป่างง่าง พี่เคนหัวเราะก๊าก แต่แล้วแกก็ต้องลุกขึ้นยืนดู เพราะลุงแกค่อยๆ เดินลงไปในบ่อ แทนที่ตัวแกจะต้องจม กลับกลายเป็นว่าตัวแกสูงขึ้นเรื่อยๆ พี่เคนบอกตรงกลางบ่อถ้าวัดความลึกได้ ไม่น่าจะต่ำกว่าห้าเมตร แต่ตอนนี้ลุงแกยืนอยู่แค่หน้าแข้งเท่านั้น แขนแกก็ยาวขึ้น มือบานเท่ากระด้ง พี่เคนได้ยินเสียงข้างๆ หูว่า
“มึงสิเอาปลาอีหยัง ปลาข่อใหญ่ ปลาเข่ง หรือปลาตอง บักจีเหริน”
พอเสียงพูดจบลง แกมองไปข้างหน้าร่างของลุงกลายเป็นเปรตสูงเท่าต้นตาล แล้วแกก็หันตัวกลับมา ในมือถือปลาช่อนอยู่จะยื่นมาให้แก
“ห่ากินหัวมึงเอ้ย ไปก่อนเด้อสู!”
แกหันหลังแล้ววิ่งตรงไปที่วัด พลางได้ยินเสียงร้อง วี้ดดดดด วี้ดดดดด ตามหลังมาอย่างกระชั้นชิด พอเข้าเขตรั้ววัด แกก็พุ่งหลาวกระโจนเข้าไปเลย เหงื่อนี่เต็มตัวไปหมด
“มาหลอยเอาปลาบ่อวัดอีกแล้วแมนบ่?”
พี่เคนหันกลับไปดู เห็นเป็นหลวงพ่อรูปหนึ่งยืนอยู่ ด้วยความที่ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง เลยนั่งคุกเข่าไหว้ท่านและพยักหน้าแทนคำตอบ
“แลนหนีหน้าตื่นมานี่ กะคือพ้อผีเปรตแมนบ่ละ”
“…หลวงพ่อคือฮู้ล่ะครับ!”
“ไผมาขโมยปลาในบ่อวัดนี่ ผีเปรตลุงบุญเติมแกก็หลอกสุคนล่ะ บ่มียกเว้น”
“ลาวบอกผมอยู่ว่าเป็นผี ผมบ่เชื่อครับหลวงพ่อ กะหาส่อหาหยอกลาว ตะกี้เจอจังๆ เลย”
“ลาวเป็นคนหมู่บ้านนี่ล่ะ แต่ว่าคิดจั่งได๋บ่รู้ คืนนั้นวันพระเมื่อปีกลาย ลาวมาหลอยเอาปลาในบ่อนี้ พอกลับไปว่าสิไปย่างแกล้มเหล้าอยู่เถียง เมาหลับ ลมพัดไม้อ่อยไฟไปติดเอาเถียงที่ลาวนอนอยู่ ไฟคลอกตายเลย คงสิเป็นบาปกรรมตามทัน เลยกลายมาเป็นเปรตแถววัดนี่ล่ะ”
“คือลาวห้ามผมจับปลา แต่ผมกะสิเอาให้ได้เลยหลอกผมเลย”
“ไผสิมาลักปลาลาวกะมาเตือนเบิ่ดล่ะ บางคนถึกหลอกจนป่วงกะมี คราวหลังเจ้ากะอย่าเฮ็ดเด้อ มันเป็นบาปหลาย”
พี่เคนพยักหน้าให้ท่านแล้วก็ตามท่านไปที่กุฏิ คืนนั้นพี่เคนได้กางมุ้งนอนนอกชานตรงระเบียงกุฏิ เสียงดัง วี้ดดดดด วี้ดดดดด ยังลอยมาตามลมอย่างไม่ขาดสาย
แกรู้สึกตัวตื่นมาอีกทีตอนประมาณตีห้า แกลุกไปดูหลวงพ่อแต่กลับไม่พบ แกคิดในใจว่าท่านคงไปทำวัตรเช้ากับพระรูปอื่นก่อนจะออกบิณฑบาต แกเลยเดินไปนั่งที่ศาลา มองดูพระมีห้าถึงหกรูป พอท่านทำวัตรเสร็จก็เดินออกมาเจอแกเลยถาม
“อ้าวโยม มาแต่เซ้าเล่ย มีหยังบ่”
“คือผมมาแถวนี้เมื่อคืน แต่ถืกผีเปรตหลอกเลยแลนมาหลบนอนในวัดนี่ครับหลวงพี่”
“มาลักปลาติโยม ลุงบุญเติมสั่งสอนเอาซะ”
“โชคดีเมื่อคืนเจอหลวงพ่อท่านพามานอนกุฏินำท่านครับ จังซั่นยุงหามผมแท้”
“กุฏิไสล่ะโยม?”
พี่เคนเลยชี้ไปที่กุฏิที่แกนอนเมื่อคืน “หลวงพ่ออยู่ไสละครับ เผื่อผมสิเอาของมาถวายท่านคราวหลัง”
“…หลวงพ่อเพิ่นมรณภาพไปอาทิตย์หนึ่งละ พึ่งสิเผาไปเมื่อวันก่อนโยม”
ได้ยินดังนั้นพี่เคนถึงกับเข่าอ่อน เลยบอกหลวงพี่รูปนั้นว่าตอนบิณฑบาตขอแกออกไปด้วย แกกลัว ไม่รู้จะเจออะไรอีก
พอกลับมาถึงหมู่บ้าน ตัวแกเองเลยตัดสินใจบวชอุทิศส่วนกุศลให้ลุงบุญเติมและหลวงพ่อรูปนั้นเป็นเวลาหนึ่งพรรษา แล้วพอสึกออกมาแกก็กลายเป็นคนนิ่งๆ ไม่พูดจาทะเล้นทะลึ่งตึงตังเหมือนเมื่อก่อนอีกเลย เรื่องราวทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ครับ
ขอขอบคุณที่มา: คุณหาญ ใจสิงห์