“กลกามกับคุณไสย” โดย กฤตานนท์
กลกามกับคุณไสย โดย กฤตานนท์
ถ้าคุณนอกใจใครคนหนึ่งสำเร็จ อย่าคิดว่าอีกฝ่ายไม่เท่าทัน แต่จงรู้ไว้ว่าเขาให้ความเชื่อใจคุณเกินกว่าที่คุณควรได้รับ
แบงค์มีอาชีพเป็นเซลล์ขายรถ พูดเก่ง อัธยาศัยดี ลูกล่อลูกชนแพรวพราว ติดท็อปเซลล์ เขามีแฟนคนหนึ่งชื่อป่าน เป็นเซลล์อยู่โชว์รูมเดียวกัน ด้วยความที่เป็นหนุ่มคารมดีพอๆ กับหน้าตา ทำให้มีสาวน้อยสาวใหญ่เซลล์ใหม่เซลล์เก่า รวมถึงลูกค้าสาวๆ แวะมาแจกขนมจีบเป็นประจำ
และก็เข้าทำนองที่ว่า “ผู้ชายไม่เจ้าชู้ ก็เหมือนงูไม่มีพิษ” แต่สำหรับแบงค์ไม่ใช่งูพิษธรรมดา ต้องเรียกว่าจงอางในคราบคน เพราะพี่แกเจ้าชู้ประตูดินมาก ตอดเล็กตอดน้อยลูกค้าสาวๆ ตลอด
ป่านเองก็รู้ถึงความกะล่อนมากรักของแฟนหนุ่ม แต่แบงค์ก็ลื่นเป็นปลาไหลอาบน้ำมันรำข้าว ป่านไม่เคยจับได้คาหนังคาเขา อีกทั้งเธอคิดว่าสิ่งที่มีให้แบงค์คือ “รัก” ไม่ใช่ “หลง”
ป่านพยายามบอกแบงค์เสมอให้เลิกทำตัวเจ้าชู้ แต่แบงค์ก็ยึดมั่นในเจตนารมณ์เหมือนที่เคยบอกเสมอๆ ว่าแต่งงานกันเมื่อไหร่จะเลิกนิสัยเจ้าชู้ทันที ในระหว่างนี้ก็อย่าบีบกันเกินไป ถ้าทนไม่ได้ก็ให้เลิกกันซะตอนนี้ (เอากับเขาสิ) ซึ่งทั้งสองรู้กันอยู่ว่าเงื่อนไขมักง่ายนี้ไม่ใช่คำขู่ แต่เป็นข้อตกลงที่ฝ่ายชายบอกตั้งแต่เริ่มคบกัน และฝ่ายหญิงเลือกจะยอมรับ
แต่นั่นล่ะ หลังเกิดคาวกามขึ้นบ่อยเข้า เริ่มเกิดปมเล็กๆ ในใจฝ่ายหญิงว่าถึงรักแค่ไหนมันก็มีลิมิตนะจ๊ะ ป่านไม่ระแคะระคายเลยว่ากำลังเกิดเหตุการณ์ให้เธอต้องตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่ง และเหตุการณ์ที่ว่าเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา
และเรื่องก็เริ่มที่ตรงนี้ เมื่อแบงค์ได้รับแอสซายน์ด่วนให้นำรถไปส่งลูกค้าที่อำเภอบางสะพานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์…
แบงค์ชวนเพื่อนอีกสองคนเดินทางไปบางสะพานด้วยกัน คนหนึ่งชื่อต้อมอีกคนชื่อตั้ม ใช้รถสองคัน คันหนึ่งส่งมอบลูกค้า อีกคันใช้ขับกลับกรุงเทพฯ ออกเดินทางสายวันศุกร์ กะว่านอนค้างสักคืนแล้วค่อยกลับวันเสาร์ ปุเลงๆ ไปไม่รีบร้อน ถึงบางสะพานก็บ่ายแก่ๆ
ทั้งสามรีบขับรถไปส่งมอบลูกค้าเรียบร้อย จึงวกกลับเข้าไปเช็คอินที่โรงแรม เปิดเพียงหนึ่งห้องและเพิ่มเตียงเสริม หลังจากพักผ่อนจนหายเหนื่อยก็ออกไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารขึ้นชื่อ เหล้า ยา โซดา น้ำ ยกมาเสิร์ฟสามหนุ่มสามมุม กระดก-ชน จนกรึ่มได้ที่ก็ว่าจะกลับห้องกัน
พอดีว่าสายตาแบงค์เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังมองเขา ถึงอยู่ใต้แสงสลัวแต่เธอดูเป็นสตรีสวยคม ตาโต ผมยาวถึงสะโพก สายตาหยาดเยิ้มไดเร็คถึงพ่อขมองอิ่มแบงค์ ทอดสะพานขนาดนี้ความเจ้าชู้ลุกพรึ่บในพริบตา แต่ครั้นจะเดินโทงๆ เข้าไปหาก็เสี่ยงทีน เพราะข้างกายเธอมีไอ้หนุ่มหน้าเหี้ยมนั่งพะเน้าพะนออยู่
แต่ก็นั่นล่ะครับ เป็นสามัญวิสัยชายวัยคะนอง ตัณหามักมีน้ำหนักกว่าเหตุและผล ระดับคาสโนว่าอย่างแบงค์มองปร๊าดเดียวทะลุ ว่าผู้หญิงคนนั้นพร้อมให้ทั้งใจทั้งตัวเลยล่ะ รีบบอกให้เพื่อนทั้งสองคนกลับโรงแรมไปก่อน ส่วนตัวเองยืนรออยู่หลืบหนึ่งหน้าร้านอาหาร
ไม่นานนักผู้หญิงคนนั้นก็ตามออกมาคนเดียวอย่างรู้งาน และแนะนำตัวว่าชื่อ ‘กาหลง’
แบงค์เองก็แนะนำตัวคร่าวๆ คุยไปคุยมาตกลกว่าจะไปต่อกัน กาหลงบอกว่าไปเก็บของแป๊บเดี๋ยวมา เธอเดินกลับเข้าร้านสวนกับบริกรหนุ่มผิวเข้มคนหนึ่ง แบงค์ซึ่งกำลังวาดวิมานในอากาศมารู้สึกตัวอีกทีไอ้หนุ่มสำเนียงทองแดงเดินเข้ามาใกล้ๆ กระซิบสิบคำจำฝังใจ
“พี้ๆ อย่าไปกับผู้หญิงคนน้านนะ”
แบงค์งงว่าบ๋อยคนนี้พูดอะไร (ของมัน) ไม่คิดแม้จะถามสาเหตุ ควักเงินให้ยี่สิบแล้วตะเพิดให้กลับเข้าร้าน แต่บ๋อยคนนั้นไม่รับเงิน เดินกลับเข้าไปทิ้งข้อความชวนสงสัยว่า “ผมเตือนพี้แล้วนะ”
สักพักกาหลงเดินออกมาและตรงเข้านัวกับแบงค์ทันที จากนั้นพากันไปที่โรงแรมเดียวกับที่ต้อมกับตั้มพักอยู่แต่เปิดห้องใหม่อีกห้อง
หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นคงไม่ต้องสาธยาย…
รุ่งเช้าต้อม-ตั้มตื่นขึ้นมาไม่เห็นเพื่อนก็เดาได้ว่ามีซัมติงอย่างเคย อย่างไอ้คุณแบงค์ไปไหนก็ได้เมียมันทุกที่ ระหว่างกำลังเก็บของมีคนเดินมาเคาะประตู ทีแรกคิดว่าเพื่อนจอมเจ้าชู้ ที่ไหนได้เป็นกาหลง เธอบอกว่าแบงค์ให้มาบอก (อีกต่อ) ว่าให้ต้อม-ตั้มกลับกรุงเทพฯ ไปก่อนได้เลย ส่วนแบงค์จะอยู่ที่นี่ต่ออีกสัก 2-3 วัน
ด้วยความเป็นห่วงว่าเพื่อนจะลงไปนอนคุยกับรากมะม่วงข้างโรมแรมรึเปล่า จึงให้กาหลงพาไปหาแบงค์ พบแบงค์นอนยิ้มแป้นแล้นอยู่ เขาบอกว่าให้กลับไปก่อน เดี๋ยวจะตามไป ระหว่างรอสามหนุ่มคุยกัน กาหลงจึงขอตัวไปอาบน้ำ เมื่อแบงค์เห็นฝ่ายหญิงผลุบเข้าไปในห้องน้ำ เม้าท์มอยคะนองปากแบบไม่เกรงใจฝ่ายหญิงว่า
“เชี่ย…คนนี้แม่มเด็ดจริง”
สองเพื่อนพยายามบอกว่าเอาแค่พอหอมปากหอมคอก็พอม้าง แต่แบงค์ยืนยันว่าจะอยู่ต่อ จะกลับไปทำงานวันอังคาร ฝากบอกจีเอ็มให้ด้วย ต้อมตื้อต่อว่าถ้าป่านถามจะให้บอกยังไง แบงค์ให้เพื่อนทั้งสองบอกว่าตนไปเยี่ยมญาติ เพื่อนพยายามเกลี้ยกล่อม แต่แบงค์ตอบกลับไปว่าจะจัดการเรื่องนี้เอง
จังหวะนั้นกับกาหลงอาบน้ำเสร็จพอดี ต้อม-ตั้มได้กลิ่นหอมปนฉุนจางๆ ลอยเตะจมูก อารมณ์คุกรุ่นถึงขนาดไม่อยากกลับกรุงเทพฯ ความหื่นส่งเสียงทักทาย “นายๆ อยู่แจมกับเค้าเหอะ” แต่แบงค์รีบตะเพิดเพื่อนทั้งสองไปซะก่อน เขากะว่าจะเปิดห้องนี้อยู่กับกาหลงสัก 2-3 วันค่อยกลับกรุงเทพฯ แต่ฝ่ายหญิงบอกว่าให้ไปบ้านเธอดีกว่า อยู่กับยายพิการแค่สองคน ไม่ต้องเสียสตางค์เช่าโรงแรม
แบงค์ตอบตกลงทันที โดยที่ไม่สำเหนียกแม้แต่น้อยว่าความสะพรึงกำลังกวักมือรออยู่…
บ้านกาหลงอยู่ห่างจากตัวอำเภอไม่ไกลนัก เป็นบ้านไม้สองชั้นขนาดกลาง ไม่เล็กไม่ใหญ่ กาหลงพาแบงค์ขึ้นไปหายายที่ชั้นสอง ยายของเธอเป็นอัมพาตนอนนิ่งอยู่ในมุ้งเห็นแค่เงาลางๆ (ก็แปลกใจว่าทำไมไม่ให้อยู่ชั้นล่างแต่แบงค์ก็ไม่ได้ถาม) กาหลงบอกอีกว่าถ้าไม่มีธุระก็อย่าขึ้นมารบกวนยายบนนี้ เพราะแกไม่ชอบคนแปลกหน้า และยิ่งไม่ชอบเวลาที่กาหลงพาผู้ชายมาที่บ้าน
หลังจากไหว้ยายเสร็จ จึงเดินลงมาชั้นล่าง กาหลงยิ้มอยู่แป๊บแล้วเดินเข้ามาบีบนวด แบงค์ได้กลิ่นหอมจางๆ จากตัวอีกฝ่าย อารมณ์ก็เตลิดอีกรอบ ทั้งสองพากันไปทำการบ้านต่อทันที คงบอกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่แบงค์ร่วมรักมาราธอนขนาดนี้ พักหายใจได้ไม่นานกาหลงก็แซะเข้ามา จากเช้าถึงเย็นจนเพลียไปหมด ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ที่มานี่ก็เพื่อการนี้อยู่แล้ว
เพิ่งมาเริ่มรู้สึกแปลกๆ เมื่อถึงมื้อเย็น เจ้าบ้านถือสำรับออกมาจากในครัว แบงค์มองก็งงไม่น้อย เพราะอาหารค่ำมีแค่ข้าวเปล่าหนึ่งก้อนวางอยู่บนชามสังกะสีสีขาว ไม่มีกับสักอย่าง…
ถึงบ้านจะไม่ใหญ่โต แต่ก็ไม่ใช่ว่าเล็กมาก ข้าวของในบ้านก็พอมีราคา ไม่น่าเป็นคนจนยากขนาดนั้น ไหงเอาข้าวเปล่ามาเลี้ยงแขก ก็ถามอ้อมๆ ว่าขาดเหลืออะไรรึเปล่าเขาพอช่วยได้นะ แต่กาหลงบอกว่า เงินทองเธอพอมี แต่วันนี้เพลียมากเลยไม่ได้ทำกับข้าวให้กิน ไว้พรุ่งนี้เช้าจะทำกับข้าวมื้อใหญ่ให้เป็นการแก้ตัว ถัดจากนั้นเกิดกิจกรรมอะไรต่อทุกคนคงทราบ…
วันรุ่งขึ้นแบงค์รู้สึกปวดขาข้างหนึ่งแบบไม่มีสาเหตุ คิดว่าคงนอนผิดท่า เดินออกมาจากห้องนอนไม่เจอกาหลง หาจนทั่วก็ไม่พบ พบแค่โน๊ตแผ่นหนึ่งเขียนไว้ว่า “ออกไปซื้อกับข้าว สายๆ กลับ” แบงค์รู้สึกหิวจึงเดินเข้าไปในครัวเจอกระดาษโน๊ตอีกแผ่นสอดอยู่ใต้ชามข้าวสังกะสีใบเดิม มีข้อความเขียนไว้ว่า “กินรอไปก่อนนะ” เขามองไปในชาม มันคือข้าวเปล่าปั้นหนึ่ง…
“ข้าวเปล่าอีกแล้วเหรอวะ”
เอียนจนถึงกับอุทาน เดินรื้อค้นอาหารแห้งไม่เกรงใจเจ้าของบ้านก็ไม่พบอะไรสักอย่างนอกจากข้าวสารในโอ่ง มาม่าปลากระป๋องก็ไม่มีสักอย่าง อยู่กันยังไง (วะ) เนี่ย คนหิวเริ่มฉุน เดินถือชามข้าวออกมานั่งเคี้ยวตุ่ยอยู่หน้าบ้าน กินอยู่ดีๆ ก็แทบอาเจียนเพราะได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยมาจากที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ ตัว ลองเดินหาดูก็ไม่เห็นมี จึงกลับมานั่งมองข้าวไร้กับ ก็ทนกระเดือกเข้าไปเพราะความหิว
ช่วงสายๆ กาหลงกลับมาบ้าน หอบเนื้อและผักสดมาถุงใหญ่ บอกว่าเดี๋ยวจะทำกับข้าวอร่อยๆ ให้กิน แต่ให้ตายเถอะโรบิ้น พอแบงค์ได้กลิ่นกรุ่นกายสาว อาการกำหนัดก็ปะทุอีก ทุกอย่างจบลงบนเตียงเหมือนอย่างเคย ตื่นมาอีกทีโพล้เพล้ซะงั้น เหลียวหาคนข้างกาย เจ้าบ้านหายไปอีกแล้ว เดินออกมานอกห้องเจอชามข้าวใบเดิมพร้อมข้าวเปล่าหนึ่งก้อน…
ข้าวเปล่าหนึ่งปั้นสามมื้อ? ซื่อบื้อยังไงก็ควรตระหนักได้แล้วล่ะว่ามันผิดปกติ
แบงค์เดินสำรวจบ้านไม้หลังนั้น ไล่ตั้งแต่หน้าบ้านจรดหลังบ้าน ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ เป็นบ้านไม้โบราณทั่วๆ ไป เสาไม่ตกน้ำมัน ไม่มีใครนั่งห้อยขาอยู่บนขื่อ ไม่มีเสียงเด็กๆ วิ่งกระพรวนดังเสียดหู ไม่มีอะไรที่ชวนคลางแคลง เป็นบ้านทั่วๆ ไป แต่…ความรู้สึกบอกว่ามีแน่ๆ ต้องซุกอยู่ที่ใดที่หนึ่งเนี่ยล่ะ และแน่นอนมันไม่ได้อยู่ชั้นล่าง
อากาศช่วงใกล้ค่ำก็เป็นใจซะเหลือเกิน เงียบ วังเวง มองไปทางไหนก็มืดทึบไปหมด ไฟจากบ้านเพื่อนบ้านก็โน่น ไกลลิบ เหลือแสงเท่าหิ่งห้อย แบงค์เดินไปหยุดอยู่ตรงทางขึ้นชั้นสอง มองขึ้นไปเหมือนโพรงดำมืด เอื้อมมือเปิดไฟ แสงส้มๆ จากหลอดไส้สว่างขึ้น จึงค่อยก้าวขึ้นไปช้าๆ ขาเจ้ากรรมก็สั่นพั่บๆ ทั้งปวดทั้งกลัวผสมกันมั่วไปหมด
ชั้นสองเป็นลานโล่ง มีห้องหนึ่งห้องล็อกกุญแจอยู่ ตรงข้ามห้องเป็นเตียงไม้ขนาด 6 ฟุต มีมุ้งสีขาวทึมกางคลุมถึงขาเตียง แบงค์ย่องเข้าไปเงียบๆ เห็นเงาตะคุ่มๆ ขยุกขยิกก็ตั้งท่าจะเผ่น แต่มีเสียงแหบสากแว่วมาเบาๆ
“หนุ่ม…เช้าเมื่อไหร่รีบกลับไปซะ”
ความงงนำให้แบงค์เดินเข้าไปหายาย พยายามถามว่าพูดเรื่องอะไรแต่ยายไม่ตอบ ในเงาสลัวแบงค์เห็นยายยกแขนขึ้นช้าๆ แล้วชี้ไปห้องที่ล็อกอยู่ และเหมือนรู้ใจแบงค์ว่า ‘มันล็อกอยู่นะ’ ยายเลื่อนมือไปยังผนังฝั่งหนึ่งแล้วพูดต่อว่า
“กุญแจ”
แบงค์กระโผลกกระเผลกเข้าไปหาคลำๆ ควานๆ อยู่สักพักเจอกุญแจเก่าๆ ดอกหนึ่ง จึงหยิบไปไขห้องที่ล็อกอยู่ ทันทีที่เปิดประตู ลมแทบจับสิครับพี่น้อง หัวใจลงไปกองตรงตาตุ่ม… ภายในห้องนั้นมีโต๊ะหมู่เก่าๆ พวงมาลัย ดอกไม้ พาน เทียนและน้ำตาเทียนเกรอะกรังเต็มพื้นไปหมด เท่านั้นยังไม่พอมีสายสิญจน์ห้อยระโยงระยางยุบยับไม่ต่างกับใยแมงมุง เหมือนไม่เคยผ่านการทำความสะอาดเลย
แบงค์มองไปจนสุดผนัง เห็นไหสูงสักสองฟุตเรียงเป็นตับ และถ้าหูไม่ฝาดมีเสียงอะไรสักอย่างดิ้นพล่านอยู่ในนั้น แต่ใครล่ะจะกล้าย่องเข้าไปดู ได้แต่คิดในใจว่า
‘ซวยแล้วกู เจอครูคนอร์ เอ้ย! ครูพนอ!’
ถลาออกจากห้องแทบไม่ทัน กำลังตั้งท่าเผ่น เสียงแหบสากดังขึ้นอีกครั้ง
“หนุ่ม…อย่าออกไปตอนกลางคืน ให้ไปพรุ่งนี้เช้า”
แบงค์รีบถามว่าทำไม เจอสภาพนี้อยู่ไม่ได้แล้วจ่ะยายจ๋า คุณยายซึ่งยังนอนอยู่ในมุ้งตอบกลับสั้นๆ แต่ทำเอาแบงค์หน้าซีดเป็นไก่ป่วย
“วันนี้วันโกน ถ้าออกไปคืนนี้หนุ่มไปไม่ถึงบ้านหรอก นังกาหลงมันเอาตาย”
แบงค์คิดในใจ ‘กล้วยทอดแล้วกู!’
เสียงแหบสากบอกต่ออีกว่า ให้นัดเพื่อนมารับช่วงแปดโมงครึ่งถึงสิบโมงเช้าเพราะกาหลงไม่อยู่บ้าน แต่จะทำอะไรก็ตามห้ามให้กาหลงรู้ว่าแบงค์กำลังจะชิ่งเด็ดขาด มิฉะนั้นจะเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้น จากนั้นยายก็ไล่ให้แบงค์รีบลงไปก่อนที่กาหลงจะกลับมา แบงค์หันหลังกระเผลกกลับลงไปข้างล่าง หัวสมองเบลอไปหมดคิดอะไรไม่ออกแยกแยะไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ มีเสียงยายดังไล่หลังมาว่า
“หนุ่มมักมาก ไม่ดูตาม้าตาเรือก็เตรียมรับผลที่ตามมาด้วยนะ และระวังให้ดี อย่าเผลอกินอะไรที่นังกาหลงมันให้กินล่ะ”
อะไรนะ! แบงค์หันขวับอ้าปากค้าง คิดถึงดงบุริที่กินมาแล้วสองมื้อ กำลังจะถามยายว่าทำไมห้ามกิน ดันได้ยินเสียงกาหลงเรียกมาแต่ไกล “แบงค์ๆ”
เสียงเย็นๆ ทำเอาแบงค์ซู่ ทำไมไม่รื่นหูเหมือนทุกที (วะ) มือสองข้างขยี้ผมด้วยอารามสะพรึง ซวยๆๆๆ ซวยเช็ด! แต่เสียงยายก็ดังแว่วมาอีกว่าให้รีบลงไป อย่าให้กาหลงรู้ แบงค์ก็รีบก้าวยาวลงบันไดชนิดแทบกระโดด ตรงไปนั่งเก้าอี้โยกตัวเดิม เปิดไลน์กดแชร์โลเคชั่น ส่งข้อความบอกเพื่อนว่า
‘ไอ้ต้อม พรุ่งนี้เก้าโมงเช้ามารับกูหน่อย ห้ามขาดห้ามเกิน และไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น กูจะเล่าให้ฟังพรุ่งนี้’
เสร็จแล้วกดปิดมือถือปั๊บ เส้นยาแดงผ่าแปด จังหวะเดียวกับที่กาหลงเปิดประตูบ้านเข้ามาพอดี ประโยคแรกที่เธอถามคือ
“กินข้าวรึยัง”
แบงค์อ้อมแอ้มบอกว่าไม่หิว มองกาหลงด้วยความรู้สึกหวาดๆ ไงชอบกล เวลากาหลงยิ้มให้ขนหัวตั้งไปทั้งกบาล เธอมองไปที่จานข้าวเห็นว่ายังเหลือเท่าเดิมก็หน้าบึ้งเล็กน้อย แต่ก็เปลี่ยนสีหน้าไวพอ แล้วบอกจะวันนี้จะทำกับข้าวอร่อยๆ ให้แบงค์กิน ให้รอแป๊บเดียวแล้วเดินเข้าไปในครัว ส่วนพ่อยอดขมองอิ่มแบงค์นั่งตัวเกร็งไม่กล้าขยับ
ระหว่างนั่งคิดอะไรเพลินๆ แม่เจ้าประคุณเอ้ย กาหลงดันมาด้นกาพย์คาวหวานให้ฟังด้วยเสียงเย็นเยียบ
“มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา”
เชี่ย! หลอนขั้นสุด
ถึงตอนนี้แบงค์เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข ลุกลี้ลุกลนอย่างหนัก แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้เมื่อกาหลงยกสำรับออกมา เธอพยายามคะยั้นคะยอให้กินข้าว แต่แบงค์ก็พยายามเลี่ยงตลอด จนกาหลงยืนนิ่งมองแบงค์ด้วยความสงสัย
สักพักกาหลงเดินขึ้นไปบนชั้นสองแล้วกลับลงมาอีกครั้ง ตรงเข้าไปหอมแก้มแบงค์ ตอนแรกก็รู้สึกขยาดปนสยอง แต่น่าฉงนและพิกลนัก พอแบงค์ได้กลิ่นหอมจางๆ สติสตังก็เตลิดหมดถูกแทนด้วยราคะจริต แบงค์จำอะไรไม่ได้ รู้แค่ว่ามีสัมพันธ์สวาทกับกาหลงอีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ในรอบสองวันเขาก็จำไม่ได้
รุ่งเช้าอีกวัน แบงค์ตื่นมาปวดเนื้อตัวไปหมด แขน ขาลามไปถึงต้นคอ กาหลงไม่อยู่อย่างที่ยายว่าไว้ไม่ผิด สติเตือนว่าจังหวะนี้ให้รีบเผ่น โทรหาต้อมทันที เพื่อนบอกว่าเกือบถึงแล้ว เกิดอะไรขึ้น แบงค์ก็บอกแค่ว่าให้รีบมาก็พอ ลุ้นตัวโก่งว่าเพื่อนกับครูพนอใครจะมาถึงก่อนกัน…
สรุปว่าโชคดี ต้อม-ตั้มมาถึงก่อน ทั้งสองถามว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อแม่เค้าจับได้เหรอ ฯลฯ แบงค์บอกว่าไม่ใช่ เดี๋ยวเล่าให้ฟังบนรถ โยนกระเป๋าให้เพื่อนขนขึ้นรถ ส่วนตัวเองวิ่งขึ้นไปบนชั้นสอง ร่ำลาใครคนหนึ่ง ยายยังคงนอนอยู่ในมุ้งไม่พูดไม่จา พอแบงค์บอกว่าตัวเองจะไปแล้วเลยมาลายาย แบงค์ยังถามอีกว่ายายรู้ราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ยังไง เสียงแหบๆ ตอบกลับ
“ยายก็เคยเป็นเหมือนนังกาหลง ดูออกว่ามันถูกใจหนุ่มมากกว่าผู้ชายคนอื่น และมันจะไม่ปล่อยหนุ่มไปง่ายๆ ยายบอกได้เท่านี้ รีบไปเถอะ ก่อนที่นังกาหลงจะกลับมา”
แบงค์ยกมือไหว้ปะหลกๆ แล้วรีบแจ้นออกจากบ้าน บอกโทเร็ตต้อม “มึงเหยียบให้มิดเลย”
ออกมาได้สักพักใหญ่ๆ แบงค์เริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ต้อม-ตั้มฟัง ทั้งสองพากันหัวเราะไม่เชื่อที่แบงค์พูด หาว่าได้หญิงแล้วชิ่ง แบงค์เองก็ไม่แน่ใจว่าที่ยายเล่ามาเป็นความจริงรึเปล่า แต่เอาเป็นว่าตอนนี้สลัดทิ้งมาได้ก็ถือว่าจบด้วยดี ซึ่งแบงค์ไม่รู้เลยว่าเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะหลังจากจบบทสนทนาได้ไม่นาน เพิ่งจะพ้นเขตจังหวัดประจวบฯ แค่คืบเศษ จู่ๆ แบงค์ก็รู้สึกปวดและคันตรงข้อพับแขนซ้าย จากน้อยไปมากจนร้าวไปทั้งแขน
ยังไม่ทันรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เสียงมือถือดังขึ้น ตี๊ดๆๆ รับปุ๊บ ปลายสายกรอกเสียง
“แบงค์…นี่กาหลงนะ ไปไหนทำไมไม่บอกกันก่อน”
“แบงค์ขอโทษ พอดีเจ้านายตามให้รีบกลับไปทำงาน”
“ฉันไม่เชื่อ!”
อารมณ์โดนตอดทำให้คาสโนว่าไม่ค่อยพอใจ อีกอย่างตอนนี้ก็หนีมาไกลสุดกู่ ไม่กลัวแล้วอะไรทำนองนั้น แบงค์สวนกลับไปว่าไม่เชื่อก็อย่าเชื่อดิ ปลายสายนิ่งไปพักและพูดต่อ
“ปวดแขนซ้ายอยู่รึเปล่า”
ตอนนั้นนึกว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าจึงไม่ทันคิด แต่อีกสิบวินาทีต่อมา ภาพครูพนอผุดในสมองแบงค์ทันที ‘ไสยศาสตร์ มนต์ดำ คนเล่นของ’ หน้าชาอยู่แป๊บ แบงค์จึงถามด้วยความโกรธ
“กาหลง! ทำอะไรกับแบงค์กันแน่!”
คนถูกถามไม่ตอบ หัวเราะคิกคัก บอกให้แบงค์กลับไปหาที่บางสะพานแล้วจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง รวมถึงจะช่วยรักษาอาการเจ็บแขนให้ด้วย แบงค์ตอบไปว่าไม่กลับ ยังไงก็ไม่กลับ กาหลงนิ่งไปแป๊บแล้วกึ่งเปรยกึ่งถาม
“ปวดขาขวารึเปล่า”
ยังกับละครหลังข่าว ถามจบปั๊บแบงค์ปวดขาหนีบขึ้นมาทันที ร้องโอดโอย กาหลงได้ยินก็หัวเราะชอบอกชอบใจ แบงค์โมโหรีบกดตัดสายทิ้ง
อ่านต่อ – กลกามกับคุณไสย ตอนที่ 2 (จบ)