“กลกามกับคุณไสย” โดย กฤตานนท์ (ตอนที่ 2)

ความเดิมก่อนหน้า – กลกามกับคุณไสย ตอนที่ 1

ต้อม-ตั้มเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง คิดว่าอุปทานไปเองรึเปล่า แบงค์บอกว่าอุปทงอุปทานอะไรเจ็บจริงๆ (โว้ย) กำลังจะแวะกินข้าวและหาซื้อยานวดหรือยาแก้ปวดให้เพื่อน แต่ความคิดดังกล่าวล้มครืนไม่เป็นท่า เมื่อแบงค์ร้องว่าเจ็บแขนมาก เจ็บจนน้ำตาซึม รีบถลกแขนเสื้อขึ้นดู

สองเพื่อนตัว “ต” ถึงกับตาถลนเมื่อเห็นผิวของแบงค์ปูดนูนขึ้นมาเป็นรอยเล็กๆ จากนั้นรอยนูนที่ว่าก็เคลื่อนจากข้อพับขึ้นแขนท่อนบน ต้อม-ตั้มรู้ทันทีว่า แบงค์ไม่ได้กำลังฝึกวิชาจากคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น แต่มันกำลังโดนของ! และของที่ว่ามาพร้อมกลิ่นเน่าเหม็นสุดจะบรรยาย

แบงค์รีบบอกให้เพื่อนหาอะไรมารัดแขน (เขาเล่าแบบนี้) ต้อมคว้าเชือกได้เส้นหนึ่งก็ขันชะเนาะแปดรอบครึ่ง ดักไม่ให้เจ้าสิ่งนั้นเคลื่อนไปมากกว่านี้ ปากก็ตะโกนบอกให้ตั้มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิปไว้ แต่ยังไม่ทันจะถ่ายรอยนูนนั้นก็ยุบหายไป พร้อมเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกคำรบ ตี๊ดๆๆ แบงค์เห็นเบอร์ก็รู้ว่าใครโทรมา จึงทักทายดุจมิตรรัก

“กาหลง อีวิปริต! นี่มึงทำอะไรกับกูกันแน่วะ!”

กาหลงกลับบอกว่าถ้าแบงค์ไม่รีบกลับไปหาเธอมันจะไม่จบแค่นี้ แบงค์กลัวมากขนทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ไม้ยืนต้นและล้มลุกมาพูด แต่อีกฝ่ายยืนยันคำเดิมว่าไปเจอกันที่บ้าน อื่นใดนอกจากนี้ไม่รับฟัง และไม่รับประกันความปลอดภัยด้วย

แบงค์โมโหมากด่ากราดไปชุดใหญ่ เสียงแข็งว่ายังไงก็ไม่กลับ เขาเองก็เคยไปลงกระหม่อมมาหลายวัด ครูบาอาจารย์ที่นับถือก็พอมี จะทำพิธีปัดรังควานสักกี่รอบก็ยังได้ อย่ามาขู่เลย ไม่กลัวหรอก ปลายสายตอบเสียงเย็นๆ อย่างคนเป็นต่อ

“เอาซิ…เอาเลย… ดูสิใครช่วยแบงค์ได้” แล้วกาหลงก็วางสายไป

แบงค์ไม่รู้ตัวเลยว่าทัณฑ์จากความเจ้าชู้หนนี้สาหัสนัก ตลอดทางเขาทรมานมากจนน้ำตาไหล ปวดแขน ปวดขา ปวดหัว ทั้งยังอาเจียนเป็นเมือกปนเลือดออกมาเป็นระยะ ภายในรถเหม็นเน่าอบอวลไปทั้งคัน ต้องเปิดกระจกขับเกือบตลอดทาง ขณะขับก็เหมือนมีเสียงก๊อกแก๊กๆ ดังรอบตัวรถอยู่เนืองๆ ทำเอาต้อมบ่นอุบเพราะเป็นรถบริษัท

แบงค์โทรไปถามอาจารย์ที่รู้จักกัน (สมมติชื่อน้อย) หลังอาจารย์น้อยได้ฟังเรื่องทั้งหมด ก็แนะนำว่ารีบกลับให้ถึงกรุงเทพฯ ก่อนค่ำ เพราะวันนี้เป็นวันพระใหญ่ เข้าทางพวกคนเล่นของ และดูท่าแบงค์คงโดนมาหลายขนานตั้งแต่วันโกนแล้ว

กว่าจะกลับมาถึงกรุงเทพฯ แบงค์ก็สะโหล่สะเหล่เต็มที ต้อม-ตั้มพาแบงค์ไปโรงพยาบาล หลังจากตรวจร่างกายเสร็จ คุณหมอบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แค่ร่างกายอ่อนเพลียเล็กน้อย นอนพักผ่อนให้เต็มที่จะดีขึ้น

จากนั้นปรึกษากันว่าจะเอายังไง แบงค์ก็ใจเด็ดเหลือเกิน โทรบอกป่านแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟัง ป่านเสียใจมาก แต่ก็ข่มความรู้สึกนั้นไว้ และรีบตามไปยังวัดแห่งหนึ่งซึ่งอาจารย์น้อยเป็นคนแนะนำให้แบงค์และเพื่อนขับรถไปรอที่นั่น

เมื่อไปถึงจึงได้รู้ถึงความน่ากลัวของคุณไสย (ที่แบงค์และเพื่อนไม่เคยคิดเชื่อแม้น้อย) เพราะไม่ใช่เฉพาะแบงค์คนเดียวที่โดน แต่กลับกลายเป็นว่าสารถีตัวประกอบห้าบาทสิบบาทอย่างต้อมเจือกโดนหางเลขไปด้วย ใช่ครับ! ต้อมก็โดนของไปหนึ่งดอกเช่นกัน พิกัดอยู่บริเวณข้อเท้า… อาจารย์น้อยบอกว่า นี่ล่ะที่เขากันว่าเรียกลมเพลมพัด ระหว่างขับรถมาต้อมคงไปเผลอทักอะไรเข้าให้

ซวยเช็ด!

แบงค์กับต้อมขอร้องให้อาจารย์น้อยช่วย แต่อาจารย์บอกช่วยไม่ได้ และอธิบายสั้นๆ ว่าคนเล่นคุณไสยแบบนี้มีสองประเภท คือจำพวก ‘ทำ’ กับ ‘แก้’ ใครที่เชี่ยวชาญด้านทำจะไม่ชำนาญการแก้ เช่นเดียวกันคนแก้ก็ไม่ชำนาญด้านการทำ เลยต้องมาขอให้หลวงพี่รูปหนึ่งที่จำพรรษาอยู่วัดนี้ช่วย

ระหว่างรอ ป่านปลอบแบงค์สารพัด ให้กำลังใจตลอดว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างต้องเรียบร้อย ไม่พูดหรือซ้ำเติมการกระทำแย่ๆ ของแบงค์แม้แต่น้อย แบงค์ตื้นตันมาก แต่ก็ไม่ได้แสดงออกเพราะเพลียเต็มที่

สักพักหลวงพี่รูปหนึ่งเดินออกมา อดีตเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบ แต่ท่านสักยันต์เต็มตัว ท่านมองแบงค์กับต้อมแล้วบอกให้ทั้งสองนอนลงกับพื้น จากนั้นหยิบบาตรออกมา ทำพิธีอยู่ครู่แล้วกรอกน้ำทั้งที่นอนอยู่

เมื่อดื่มเข้าไปแล้วต้อมไม่รู้สึกอะไร แค่มึนหน่อยๆ แต่แบงค์กลับอาเจียนอย่างรุนแรง เศษอาหารที่อ๊อกมาส่งกลิ่นเหม็นเน่าคลุ้งไปทั้งศาลา แต่พอหยุดอาเจียนก็รู้สึกดีขึ้น แบงค์ขอบคุณหลวงพี่รูปนั้น แต่ท่านยืนสำรวมอยู่นิ่งๆ แล้วยื่นกระดาษยับๆ ให้หนึ่งแผ่น บอกต่อว่าไปหาคนที่มีชื่ออยู่ในกระดาษแผ่นนี้ ระหว่างทางหากรู้สึกไม่ดีก็ให้ทั้งสองคนจิบน้ำในบาตรเรื่อยๆ

พูดจบหลวงพี่ก็เดินกลับกุฏิทิ้งความงงงวยให้คณะฉิ่งฉับทัวร์ อาจารย์น้อยจึงบอกว่าหลวงพี่ท่านช่วยได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่สามารถเอาของออกจากตัวได้ แต่คนที่ท่านคิดว่าช่วยได้ คือคนที่มีชื่ออยู่ในกระดาษนั่นล่ะ ให้ทั้งสามคน (แบงค์ ต้อม ตั้ม) รีบไปทันที แต่ระหว่างทางต้องระวังให้ดี ยังไงวันนี้ก็วันพระใหญ่อาจโดนลมเพลมพัดเข้าอีกก็ได้

ฟังจบตั้มออกตัวทันที “ไอ้แบงค์ กูไม่ไปนะ”

แบงค์ไม่ค่อยพอใจนัก เป็นเพื่อนกันแท้ๆ เวลาเดือดร้อนกลับทิ้งกันเฉย เดินทางมืดๆ ค่ำๆ กับต้อมแค่สองคนสยองตายชัก แต่ก็ไม่อยากบังคับเพราะว่าตั้มคงไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยง แต่ที่ไหนได้คนที่ยอมเสี่ยงกลับเป็นป่าน แบงค์ไม่อยากให้ไปเพราะเป็นห่วงแฟน แต่สุดท้ายป่านยืนยันว่าจะไปเป็นเพื่อน แบงค์ได้ยินก็รู้สึกละอายใจกับการกระทำที่ผ่านมาของตัวเอง

ป่านเช็คเที่ยวบินทันทีปรากฏว่าไม่ทัน แต่ดูจากสภาพแบงค์เดี๋ยวอ้วกๆ ถ้าไปเครื่องไม่ได้ขับรถไปเองสะดวกที่สุด ทั้งสามตกลงว่าจะออกเดินทางทันทีเพราะอาการแบงค์ไม่สู้ดีนัก สุดท้ายอาจารย์น้อยเลยบอกว่าจะไปด้วย แบงค์ส่งกระดาษแผ่นนั้นให้ต้อม ต้อมอ่านจบเปิดจีพีเอสระบุปลายทาง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย…

ออกจากกรุงเทพฯ สองทุ่มเศษโดยมี แบงค์ ต้อม ป่าน และอาจารย์น้อยร่วมเดินทางไปด้วยกัน มันช่างเป็นการเดินทางยามวิกาลที่เสียวสันหลังดีชะมัด แถวกรุงเทพฯ และปริมณฑลก็ไม่เท่าไหร่ ไฟพร่างสว่างพราวไปหมด แต่พอห่างออกไปรถเริ่มบางตา ทีนี้ล่ะขนค่อยๆ ลุกทีละเส้นสองเส้น รู้สึกตัวอีกทีขนทั้งแขนก็ชี้โด่เด่

อาจารย์น้อยถามลักษณะผู้หญิงคนนั้นรวมไปถึงบ้านช่องห้องหับ แบงค์ก็เล่าเท่าที่จำได้ อาจารย์น้อยจึงลงความเห็นว่า คุณไสยของกาหลงน่าจะมีที่มาจากทางใต้ และดูท่าเธอจะเชี่ยวชาญเกินอายุ อาจมีมือดีสอนตั้งแต่ยังเล็ก แบงค์นั่งฟังก็นึกถึงยายของกาหลงขึ้นมาทันที อาจารย์บอกต่อว่าเธอ (น่าจะ) ทำของลงข้าวเปล่าที่ให้แบงค์กินนั่นล่ะ แต่โชคดีที่เฉลียวใจไม่กินครบสามก้อน ไม่งั้นอาจไม่ได้มานั่งคุยกันตรงนี้

ตัดฉับขับมาถึงโคราชจึงแวะเข้าห้องน้ำ เพราะแบงค์ต้องคอยจิบน้ำมนต์ตลอดเวลาทำให้ปัสสาวะบ่อย จากนั้นทุกคนเดินไปหาซื้อของกิน แบงค์เองก็หิวแสบไส้ เพราะแทบไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากข้าวเปล่าที่กาหลงคะยั้นคะยอให้กินนั่นล่ะ เขาซื้อขนมปัง ไส้กรอก น้ำอัดลม กินแบบหิวโหย เสร็จแล้วเดินกลับไปขึ้นรถ

แล้วแบงค์ก็รู้สึกถึงความผิดปกติอีกอย่างที่ไม่ใช่ความรู้สึกปวด แต่เป็นความรู้สึกหิว… หิวทั้งที่เพิ่งสวาปามขนมปัง ไส้กรอกไปแหมบๆ เขาลงไปซื้อของกินเพิ่มและน่าแปลกกินจนหมดก็ยังไม่รู้รสอิ่ม แถมอาการปวดที่ทุเลาไปแล้วขึ้นกลับปวดตุบๆ ขึ้นมาอีกครั้ง พยายามจิบน้ำมนต์เรื่อยๆ ก็ไม่หาย กระโผลกกระเผลกเข้าไปบอกอาจารย์น้อย อาจารย์ได้ยินจึงรีบสั่งให้ทุกคนขึ้นรถทันที บอกแค่ว่าต้องรีบไปแล้ว

พูดจบเดินเข้าไปหาแบงค์บอกว่าลองมองเข้าไปในปั๊มดูสิว่าคุ้นหน้าคุ้นตาใครบ้างรึเปล่า แบงค์ซึ่งร้าวไปทั้งตัวคิดว่าถึงเป็นกลางดึก แต่ปั๊มใหญ่จุดพักรถแบบนี้มีคนอยู่เยอะแยะจะไปสังเกตหมดได้ยังไง และที่สำคัญมาไกลขนาดนี้ นอกจากเพื่อนและแฟนที่มาด้วยกัน ก็ไม่รู้จักใครอยู่แล้ว แบงค์มองกราดแล้วบอกว่าไม่คุ้นหน้าใครสักคน อาจารย์น้อยถอนหายใจโล่งอก แต่ยังไล่ลมไม่หมดโพรงจมูก แบงค์ก็ขัดขึ้น

“เดี๋ยวครับอาจารย์”

คนพูดเสียงสั่น เพราะไกลลิบๆ ในขณะที่คนอื่นเดินขวักไขว่ไปมา มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนนิ่งจ้องแบงค์ไม่วางตา แบงค์ไม่คุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้ ไม่เคยเห็น แต่ความรู้สึกมันบอกว่าเคยเจอแน่ๆ และเมื่อเห็นเธอคนนั้นยกมือขึ้นแล้วชี้นิ้วไปมาซ้าย-ขวา สัญชาตญาณเตือนแบงค์ทันทีว่าสิ่งที่เขาคิดถูกต้องที่สุด เขาเคยเจอผู้หญิงคนนี้จริงๆ… ยายของกาหลง

แบงค์ร้องเสียงดังลั่นรถ เฮ้ย! ร้าวจี๊ดตั้งแต่ขาขึ้นไปถึงหัวชนิดซดน้ำมนต์ครึ่งลิตรก็ไม่หาย ท้องก็ร้องครืดคราดๆ รู้สึกหิวมากๆ เช่นเดียวกับต้อมก็บ่นอุบว่าเจ็บจี๊ดตรงข้อเท้า

อาจารย์น้อยรีบถามแบงค์ว่าเห็นอะไร แบงค์กะพริบตาอีกครั้ง และอีกครั้ง แต่ยายกาหลงก็ยังยืนนิ่งอยู่กลานลานซีเมนต์ไม่ไกลจากจุดจ่ายน้ำมัน แบงค์ชี้นิ้วผ่านกระจกละล่ำละลัก บอกว่ารู้จักผู้หญิงแก่คนนั้น เคยเจอแกที่บ้านกาหลง แต่อาจารย์น้อย ต้อม และป่าน มองตามก็ไม่เห็นมีผู้หญิงแก่สักคน

“ไอ้เชี่ย! มึงอย่าอำนะ ไม่ขำโว้ย” ปากต้อมว่าแบบนั้น แต่นิ้วนี่ดึงปุ่มเลื่อนกระจกขึ้นแทบไม่ทัน

“อำเอิมอะไร ถึงกูไม่เคยเห็นหน้า แต่กูแน่ใจว่าใช่ เคยคุยด้วยซ้ำ แกนั่นล่ะเป็นคนบอกกูว่ากาหลงเล่นของ และยังบอกให้รีบออกมาจากบ้านนั้นด้วย แต่แกเป็นอัมพาตนี่หว่า แล้วแม่มมาโผล่โคราชได้ไงวะ!”

ต้อมอยากกำนัลแบงค์ด้วยผรุสวาจาสักสองโหล ว่าใช่เวลาสงสัยมั้ยครับเพ่ แต่ตอนนี้คือกลัวขึ้นสมองไปหมดแล้ว หันไปมองอาจารย์น้อย แกเองก็เริ่มหน้าเสีย ละล่ำละลักบอกว่าให้รีบไป โทเร็ตต้อมได้ยินก็เหยียบมิดไมล์ ป่านถามว่ากว่าจะถึงหนองคายก็อีกหลายร้อยกิโลฯ หรือจะแวะนอนที่โคราชสักคืนแล้วตอนเช้าค่อยไปต่อ แต่อาจารย์บอกว่าอาการแบงค์ไม่ค่อยดีแล้ว ต้องรีบไปให้เร็วที่สุด

สิ่งที่อาจารย์พูดถูกเป๊ะ ภายใต้ความมืดในห้องโดยสาร แบงค์เอามือคลำแขนกับขาตัวเอง รอยนูนเริ่มปูดขึ้นมาอีกครั้ง และคราวนี้ไม่ได้มีแค่รอยเดียวซะด้วยสิ มาเป็นแผงเลย

ขณะที่รถกำลังแล่นไปบนถนน อยู่ๆ ป่านก็เปรยถามแบงค์ว่าเคยเห็นยายคนที่ว่าเหรอ แบงค์ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง เพราะไม่เคยเห็นหน้าชัดๆ สักที แต่เขาแน่ใจว่าใช่ ป่านจึงพูดต่อว่า แล้วแบงค์แน่ใจได้ยังไงว่าที่แบงค์คุยด้วยคือคนจริงๆ แบงค์ถึงกับสะอึก เพราะตลอดเกือบสองวันที่อยู่บ้านกาหลง แม้จะเคยคุยฉอดๆ กับยาย แต่ยายก็ไม่เคยลุกออกมาจากมุ้งแม้แต่ครั้งเดียว

อาจารย์น้อยจึงบอกว่าที่ป่านพูดก็มีโอกาสเป็นไปได้ ของจากใต้ใครๆ ก็ว่าไม่ธรรมดา แม้แต่ในยุคสมัยนี้ ในแวดวงคนเล่นของยังพูดกันว่าของจากทางใต้อาถรรพ์แรงที่สุด และยายคนนั้นรูปกายอาจเป็นคน แต่เนื้อในอาจไม่ใช่ บางทีอาจเป็นอะไรบางอย่างที่แฝงมาพร้อมกับ ‘ลมเพลมพัด’

แบงค์ไม่ได้รับรู้สิ่งที่เพื่อนๆ คุยกันแม้แต่น้อย เพราะปวดไปทั้งตัวจนเบลอไปหมด เกิดมาไม่เคยเชื่อและมองว่าเล่นของอะไรเทือกนี้เป็นเรื่องแหกตาลวงโลกชัดๆ ใครจะเชื่อตอนนี้นั่งกอดบาตรหมดสภาพแบบนี้ และจากโคราชเขาต้องนั่งทรมานต่อเนื่องอีก 5 ชั่วโมง ชั่วขณะหนึ่งคิดว่าไม่รอด แต่ก็ทนจนมาถึงหนองคายเอาเกือบรุ่ง

จุดหมายที่ระบุในกระดาษอยู่ลึกเข้าไปในอำเภอโพนพิสัย ที่นั่นเป็นหมู่บ้านขนาดกลาง ชื่อบุคคลปริศนาที่ปรากฏในกระดาษเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า ยายบัตร (นามสมมติ)

บ้านยายบัตรเป็นกระท่อมไม้หลังไม่ใหญ่นัก เมื่อคณะฉิ่งฉับทัวร์เดินทางไปถึงมีหญิงชราคนหนึ่งอายุแปดสิบเศษ สวมเสื้อคอกระเช้าแขนกุดเดินออกมาจากบ้าน เมื่อมองแบงค์สีหน้าแกแปลกใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แกชี้ไปที่แบงค์ ต้อม แล้วบอกให้ตามเข้าไปในบ้าน ส่วนคนที่เหลือรอข้างนอก แต่ป่านบอกว่าขอเข้าไปด้วย ตัวเองเป็นแฟนของแบงค์ ยายบัตรจึงอนุญาตให้ตามเข้าไปได้

ไปถึงยายบัตรให้แบงค์ถอดเสื้อแล้วนอนคว่ำหน้ากับพื้น แกบอกว่ายืนดูเงียบๆ ได้ แต่อย่าส่งเสียงรบกวน จากนั้นให้จ่ายค่าครูเป็นเงิน 1xx บาท แกทำพิธีอยู่สักพักก็มานั่งลงข้างๆ แบงค์ พึมพำขมุบขมิบ บีบแขนแบงค์ไล่จากแขนท่อนบนลงแขนท่อนล่างไปจนรอยนูน ไปหยุดตรงข้อพับ แกก็กดแรงๆ ตรงนั้น ปรากฏว่ามีตะปูทะลุออกมาจากเนื้อ เลือดสดๆ ไหลเยิ้มออกมา

ป่านกับต้อมจ้องอยู่แล้ว เพราะเคยเห็นคลิปที่เขาเอาตะปูออกจากตัว บางคนก็ว่าซ่อนไว้ตามนิ้ว แต่มันไม่เหมือนครั้งนี้ พวกเขาเห็นตะปูทะลุออกมาจากเนื้อจริงๆ มาพร้อมเลือดและกลิ่นเน่าเหม็นชวนอ้วก ยายบัตรก็พึมพำว่า

“ผู้หญิงคนที่ทำเขากะเอาตายเลยนะลูก”

จากนั้นแกก็ค่อยๆ บีบตะปูสนิมเขรอะออกมาทีละตัวสองตัว เลือดไหลเต็มไปหมด ใช้เวลาไปราวหนึ่งชั่วโมง มีตะปูเล็ก-ใหญ่ออกมาจากตัวแบงค์รวม 13 ดอก ยายบัตรบอกว่ายังไม่หมด แต่คนโดนทนไม่ไหวแล้วให้หยุดพักก่อน บ่ายๆ ถ้าไหวค่อยทำต่อ แบงค์ถึงกับนอนหมดสติไม่รู้เรื่องตั้งแต่นั้น

ต้อมเป็นรายต่อไปที่โดน และเขาพยายามบอกให้ป่านถ่ายคลิปไว้ แต่ป่านห่วงแฟนตัวเองมากกว่า สิ่งที่ออกมาจากข้อเท้าต้อมเป็นเศษผ้าขนาดนิ้วคูณนิ้ว เหม็นเน่าไม่แพ้กัน ต้อมถามยายว่ามันคืออะไร ยายบัตรตอบว่า “เป็นผ้าห่อศพ”

ช่วงที่รอแบงค์ฟื้น ทั้งสองเดินออกมาคุยกับอาจารย์น้อยอีกครั้ง พยายามถามว่ายายบัตรแกเป็นพวกมิจฉาชีพรึเปล่า อาจารย์น้อยจึงบอกว่าคนที่ทำได้แบบยายบัตร ทั้งประเทศมีแค่ไม่กี่คน ที่เหลือเป็นพวกลวงโลกทั้งนั้น ยายบัตรเชี่ยวชาญทั้ง ‘ทำ’ และ ‘แก้’ ซึ่งมีไม่กี่คนที่ทำได้

ช่วงบ่าย แบงค์ฟื้นขึ้นมาก็กัดฟันทำต่อ รอบที่สองมีตะปูออกมา 24 ดอก แถมด้วยหนังควายอีก 1 ชิ้น สรุปรวมทั้งหมดเจอตะปูในตัวแบงค์ 37 ดอก และหนังควายอีก 1 ชิ้น (คุณพระ! เยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย หลายคนคงอุทานเหมือนผม)

แบงค์กลายเป็นมัมมี่เป็นการชั่วคราว ทั้งตัวถูกพันด้วยผ้าพันแผล เลือดซึมเป็นดวงๆ ยายบัตรเห็นก็บ่นว่าไม่น่าเล่นกันแรงขนาดนี้ อยากสั่งสอนเขาสักหน่อยมั้ย? จะได้หลาบจำ แบงค์ถามกลับว่าทำได้เหรอ ยายบัตรพยักหน้า แล้วพูดว่า “เค้าเรียกคืนของ” จากนั้นยายบัตรแยกตะปูออกมา (กี่ดอกคนเล่าก็ไม่เห็น) ห่อด้วยผ้าขาววางใส่พาน จากนั้นบริกรรมคาถาอยู่สักครู่ แล้วหอบผ้าขาวนั้นกลับเข้าไปในบ้าน

ไม่ถึงสิบนาทีต่อจากนั้น เกิดเรื่องพิศวงขึ้นอีกรอบ เมื่อโทรศัพท์แบงค์ซึ่งเงียบไปนานดังขึ้น ตี๊ดๆๆ แบงค์จำเบอร์ได้ทันทีว่าเป็นใคร กาหลงนั่นเอง!

เสียงปลายสายร้องทุรนทุรายอย่างเจ็บปวดบอกว่ายอมแล้ว พอแล้ว แบงค์สะใจไม่น้อยที่กาหลงโดนเข้ากับตัวเสียบ้าง บอกว่าให้ทนไปหนึ่งวันค่อยว่ากันแล้วกดตัดสายทิ้ง กาหลงโทรมาอีกอ้อนวอนแบงค์ต่างๆ นานา แบงค์ก็อาฆาตไม่ยอมง่ายๆ ยืนยันเหมือนเดิมว่ากาหลงต้องโดนเหมือนที่เขาโดน จากนั้นกดปิดเครื่อง เดินเข้าไปคุยกับยายบัตร แต่ยายบัตรบอกว่าพรุ่งนี้จะถอนของออก ที่ทำก็เพื่อสั่งสอนเท่านั้น ไม่ได้ทำเพื่อแก้แค้นแทนแบงค์

เรื่องราวเกือบจะลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นเช่นนั้น หลังจากแบงค์ค่อยยังชั่ว ป่านเข้าไปบอกว่าขอเลิกกับแบงค์ เธอบอกว่าไม่สามารถทนรับพฤติกรรมมักมากของแบงค์ได้อีกต่อไป ที่ทำทุกอย่างก็เพราะเป็นห่วงด้วยใจจริง ป่านบอกตั้งแต่ก่อนออกเดินทางว่า “จะมาเป็นเพื่อน” และเธอหมายความแบบนั้นจริงๆ

สุดท้ายแม้จะผ่านเคราะห์ครั้งใหญ่มาได้ แต่แบงค์ก็ต้องสูญเสียสิ่งมีค่าบางอย่างเป็นการตอบแทน

ถ้าคุณนอกใจใครคนหนึ่งสำเร็จ อย่าคิดว่าอีกฝ่ายไม่เท่าทัน แต่จงรู้ไว้ว่าเขาให้ความเชื่อใจคุณเกินกว่าที่คุณควรได้รับ

ป.ล. ใครผ่านไปแถวบางสะพานเจอผู้หญิงสวย คมขำ ผมยาว ท่าทางทรงเสน่ห์ ไม่แน่นะอาจเป็นคุณกาหลง

ฝันดีราตรีสวัสดิ์

ขอขอบคุณที่มา – เรียงร้อยเรื่องเล่า ตอน กลกามกับคุณไสย

แฟนเพจเฟซบุ๊ก – กฤตานนท์

error: Content is protected !!