“ศพใต้เตียง” เรื่องเขย่าขวัญ โดย สรจักร

ริงๆ แล้วเชาว์คิดว่าตนเองไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าเธอ

ไม่รู้สิ! อาจเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้คือ เธอนอนตัวซีดไม่หายใจอยู่บนเตียงไม้เก่าๆ

คนเราเมื่อตายแล้ว ไม่มีสิ่งงดงามใดๆ ให้ชื่นชมเหลืออีก จากหญิงสาวผิวนวลเปล่งปลั่ง ปากแดงระเรื่อ กลายเป็นซากศพแข็งทื่อ ตาเหลือกค้าง ปากอ้าเห็นฟันสกปรก จินตนาการให้เห็นเชื้อโรคยุ่บยั่บกำลังกัดกินผิวซีดสีจิ้งจกของเธอ

“ชีวิต” เป็นเพียงกระแสชัยเล็กๆ ที่มีเป้าหมายสุดท้ายคือความตาย สัญชาตญานแห่งความตายพัฒนามาจากความก้าวร้าว และถูกกดไว้ด้วยขนบธรรมเนียม ศีลธรรม และข้อบัญญัติแห่งกฎหมาย เป็นเรื่องพ้นวิสัยที่มนุษย์ยังมีความต้องการที่จะลายล้างซึ่งกันและกันเพราะแนวโน้มของการทำลายล้างได้ฝังรากลึกลงในองค์ประกอบทางชีวภาพแล้ว เมื่อถึงจุดหนึ่ง มนุษย์ก็ยังโหยหาการทำลายล้าง

ทำลายแม้กระทั่งตนเอง

เสียงคนเคาะประตู ชายร่างผอมสะดุ้งเฮือก สิ่งแรกที่คิดถึงคือตำรวจ คนข้างห้องอาจได้ยินเสียงทะเลาะกันและแอบดูเห็นเขาเอาหมอนอุดจมูกดาริน ผนังห้องโรงแรมต่างจังหวัดเก่าและมีรูให้แอบดูเยอะไป เขาหันไปดูศพบนเตียง ถ้าตำรวจอยู่หน้าห้อง แน่นอน! คุกคือที่อยู่ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำพิพากษา

“ศาลได้พิจารณาแล้ว เห็นว่า จำเลยได้กระทำฆาตกรรมหญิงที่เคยเป็นคนรักของตน เพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบการท้องบุตรสองเดือนของผู้ตาย เป็นการกระทำที่เหี้ยมโหด ผิดวิสัยมนุษย์ ไม่ควรที่จะได้รับการให้อภัย เห็นควรให้ได้รับโทษตายตกตามกันโดยการประหาร…”

เชาน์ปวดหัวหนึบ

เสียงเคาะประตูดังอีกครั้ง คราวนี้แรงขึ้นกว่าเดิม

ต้องทำอะไรสักอย่าง ใช่แล้ว… อย่างน้อยต้องไม่ให้ตำรวจเห็นศพตอนนี้ ใจเย็นไว้..ใจเย็นไว้ เอาศพซ่อนเสียก่อน  ใช่…ใช่ เอาศพซ่อน แต่งที่นอนให้เรียบร้อย แล้วเปิดประตูให้ตำรวจเข้ามา อธิบายว่าไม่มีอะไร คงเป็นเสียงเปิดทีวีดังทำให้คนข้างห้องเข้าใจผิด ขออภัยด้วย ตอนนี้หรี่ทีวีแล้ว และสัญญาว่าจะไม่ทำอีกครับ ผมสัญญา

จริงๆ นะ ผมสัญญาว่าจะไม่ฆ่าใครอีก

พระเจ้าช่วย ! อย่าเผลอหลุดปากออกไปเป็นอันขาดเชียวนะ ไอ้โง่บรมโง่

ชายผอมเกร็งลุกขึ้นยืน ร่างเซเหมือนจะล้ม เรี่ยวแรงหายหมดหน้าซีดเผือด มือสั่นขณะเอื้อมไปจับขาที่เย็นชืด รู้สึกขยะแขยง ความเครียดกดดันจนโก่งคออาเจียนเอาลมออกมาจากท้อง เขากลั้นหายใจใช้สองมือจับขาคนตายลากมาทางปลายเตียง ดึงเอาผ้าปูที่นอนหลุดลุ่ยตามมา

ไอ้โง่! อุ้มสิวะ อย่าลาก ที่นอนยับยู่ยี่ เดี๋ยวตำรวจก็สงสัย

อุ้มศพเรอะ ไม่มีทาง ให้ตายซะดีกว่า

เสียงเคาะประตูดังโครมๆ “มีใครอยู่มั้ยคร้าบ…เปิดประตูด้วย”

เชาว์กลั้นใจกระตุกศพหญิงที่เคยเป็นคู่รักเต็มแรง ร่างของเธอหล่นโครมกับพื้นดังตึง สองตาเหลือค้างเหมือนกำลังจ้องดูการกระทำของเชาว์ ชายหนุ่มขนลุกเกรียวว รีบถีบร่างเย็นชืดเข้าไปใต้เตียง

“เปิดประตูด้วยครับ  ไม่เช่นนั้นผมจะไขกุญแจเข้าไป”

ชายกระโปรงยังโผล่

“เดี๋ยวครับ กำลังจะเปิดแล้ว” เขารีบใช้เท้าเขี่ยชายกระโปรงเข้าไป ไม่มีเวลาเก็บที่นอน

เชาว์วิ่งไปที่ประตู หันมาดูความเรียบร้อยอีกครั้ง

โอ พระเจ้า… เขาคงดันแรงเกินไป ขาซีดข้างหนึ่งเลยโผล่มาอีกฝากของเตียง

เสียงกรุ๊กกริ๊กเหมือนคนขยับพวงกุญแจ เชาว์เกิดความคิดฉับพลัน เขาปิดไฟในห้องทันที ถอดเสื้อกางเกงโยนไปปลายเตียงหยิบผ้าเช็ดตัวพันกาย สูดหายใจลึก ค่อยๆ หมุนลูกบิดช้าๆ ลูกบิดทองเหลืองเย็นเยือกเหมือนจับก้อนน้ำแข็ง หนุ่มผอมพยายามทำหน้าเรียบขณะประตูแง้มออก แต่ก็ไม่อาจปกปิดเหงื่อโทรมหน้า

นอกห้อง บ๋อยหนุ่มร่างใหญ่ท่าทางรื่นเริงยืนถือพวงกุญแจขยับไปมา เขามองเชาว์อย่างพิเคราะห์

“โทษนะพี่ ทำอะไรอยู่เหรอ กลิ่นอะไรเหม็นๆ ในห้อง”

“ก้อ…” เชาว์เสียงแหบ ขาสั่น พูดไม่ออก บ๋อยมองแขกในชุดผ้าขนหนูผืนเดียว ยิ้มทะเล้น

“แหม ผมไม่น่ามากวนเวลาสุนทรีย์ของพี่เลย คือคนข้างห้องเขาโทร.ไปบอกว่า ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกันแล้วเสียงเงียบหายไปกลัวจะเกิดเรื่องไม่ดี ผู้จัดการเลยให้ผมขึ้นมาดู”

“เอ้อ…” เชาว์อึกอัก

“ถ้ามันจบด้วยความสุขสมก็ดี พี่อย่าหักโหมนักนะ ดูสิ มือไม้สั่นเสียงแหบไปหมดแล้ว เดี๋ยวหัวใจวาย จะพานเดือดร้อนกันอีก”

เชาว์นอนมือก่ายหน้าผากบนเตียงโดยมีศพหญิงสาววัยยี่สิบสี่ที่ปากอ้ากตาเหลือกค้างถูกหมกไว้ข้างใต้ หน้าของเธอที่เป็นสีม่วงเพราะขาดอากาศบัดนี้เริ่มกลายเป็นสีเขียว เขาจะทำอย่างไรดี เชาว์รู้สึกหนาวจนต้องชักผ้าห่มคลุมกายเปลี่ยนท่านอนตัวงอมือกอดเข่า

เมื่อความเชื่อมั่นเริ่มกลับมา เขาก็คิดได้ว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะนอนคร่ำครวญ ไม่มีอะไรดีขึ้นที่จะโทษตัวเอง สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือหาทางเอาตัวรอดให้ได้

หนีหรือ ? จะหนีไปได้ไกลสักแค่ไหน เชาว์ไม่ใช่นักเลงหัวไม้แค่เป็นพนักงานขายในห้างจังหวัดติดชายแดนเล็กๆ ที่ทำอะไรโง่ๆ ให้ผู้หญิงหลายชายคนนี้จับตัวไว้ได้ เขาไม่เคยเกลือกกลั้วกับงานผิดกฎหมาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฆ่าดารินได้อย่างไร คงเป็นเพราะความโกรธที่เธอไม่ยอมเอาเด็กออก พยายามผูกมัดเขาด้วยความรับผิดชอบ ตะโกนโหวกเหวกเหมือนพวกอีตัว เขาเพียงแค่เอาหมอนอุดปากเพื่อให้เธอหยุดร้อง อารมณ์ชั่ววูบเดียวเท่านั้นที่ทำให้สองมือยังคงกดหมอนไว้แม้จะไม่ได้ยินเสียงร้องแล้ว

ช่างมันเถอะ ไม่สำคัญอีกต่อไป สิ่งที่ต้องคิดตอนนี้คือจะหนีไปไหน ทำมาหากินอย่างไร หากกลับบ้าน ตำรวจต้องหาตัวเจออยู่แล้วหรือจะเข้ากรุงเทพฯ ไปตายเอาดาบหน้า เชาว์รู้สึกมืดมน อนาคตดับวูบ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกำลังร่วงละลิ่วลงมาจากหน้าผาสูงชัน สองมือไขว่คว้าได้แต่อากาศ

เขาหนีไม่รอดแน่ สมัครงานที่ไหนก็ต้องมีแต่ประกาศจับฆาตกรเลือดเย็นติดอยู่ทั่วทุกสำนักงาน หนังสือพิมพ์ลงข่างเกรียวกราว มีทางเดียวคือไปเป็นพวกสัญจรร่อนเร่ ไม่มีชื่อ ไม่มีที่ซุกหัว หลบคดีนานถึงยี่สิบปีกว่าจะหมดอายุความ หรือหนีเข้ากัมพูชา ประเทศเดียวที่เงินในกระเป๋าจะพาไปได้ขณะนี้

ไม่หรอก มันน่าจะมีทางอื่นที่ดีกว่านี้

เอาเธอไปฝังที่ไหนสักแห่ง อย่าให้ใครหาศพเจอ ถ้าตำรวจไม่พบศพก็เอาผิดตามกฎหมายไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐานว่าเธอตายแล้ว

แต่จะเอาศพไปฝังได้อย่างไร? เอาผ้าปูที่นอนห่อแล้วแบกไปโท่งๆ?

ไม่มีทาง

หรือจะรอให้ดึกกว่านี้?

เชาว์นั่งคิดจนปวดหัว คล้ายๆ จะได้กลิ่นอะไรเน่าเจือจางโชยจากใต้เตียง คนเราตายแล้วเหม็นเร็วจริง นานแค่ไหนกว่าเธอจะขึ้นอืด ถ้าขึ้นอืดท้องคงบวมขึ้นมาดันเตียงให้ลอยเหมือนมีแม่แรงยก ตนตายโสโครกสกปรกเหมือนกันหมดไม่ว่าจะสวยหรือขี้ริ้ว

ทำยังไงดีๆ ในสมองอึงอลไปด้วยคำถามซ้ำซาก รอให้ดึกแล้วค่อยแอบลากศพออกไป ก็ไม่ได้อีก เพราะต้องผ่านเคาน์เตอร์แคชเชียร์ หรือจะแอบลงทางบันได้หนีไฟ

จริงสิ! บันไดหนีไฟ เชาว์ผุดลุกขึ้นนั่ง ขนศพลงทางบันได้หนีไฟออกทางประตูด้านข้าง เอาศพไปหมกไว้ข้างกองขยะ แล้วค่อยกลับมาเช็กเอาต์ หายืมรถเพื่อนขนศพไปฝังที่ไหนสักแห่ง

อ่านต่อ – ศพใต้เตียง ตอนที่ 2 (จบ)

error: Content is protected !!