“ศพใต้เตียง” เรื่องเขย่าขวัญ โดย สรจักร (2)

ความเดิมก่อนหน้า – ศพใต้เตียง ตอนที่ 1

เขาลุกใส่เสื้อผ้า เหมือนยกภูเขาออกจากอก คว้ากุญแจห้องเดินออกไป เห็นทางรอดรำไร โน่นไง ป้ายสีแดงสัญลักษณ์บันไดหนีไฟอยู่ทางซ้ายมือ ทางเดินสงบไร้ผู้คน เชาว์กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามทาง เปิดประตูเล็กๆ บันไดเหล็กข้างตึกทอดยาวลงยังชั้นล่าง

เขาวิ่งโครมๆ ลงไป ใจเต้นตึ้กตั้ก มันจะพาออกไปนอกอาคารได้หรือไม่หนอ

คำตอบคือ  ไม่… ที่ชั้นล่างสุดเป็นห้องเล็กๆ ประตูห้องเปิดสู่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว แขกเหรื่อก็คงพากันหนีออกทางบันไดหนีไฟหมด

เชาว์ปีนบันไดกลับขึ้นมาด้วยความสิ้นหวัง ไม่กล้าเดินผ่านโต๊ะแคชเชียร์ไปขึ้นลิฟท์ สิ่งแรกที่รู้สึกเมื่อเปิดประตูห้องคือกลิ่นเหม็นเน่า ทำไมศพเน่าเร็วจัง เธอตายไม่ถึงชั่วโมง

เชาว์เดินไปเดินมาในห้องมืดๆ สมองใช้งานหนัก เขาต้องทำลายศพ นั่นเป็นทางรอด

เผาหรือ? หนังสือพิมพ์เคยลงข่าวฆ่าแล้วเผานั่งยาง แต่มันเป็นไปไม่ได้เลย ไม่เพียงแค่โทษฐานฆ่าคนตาย แต่จะโดนของหาวางเพลิงอีกกระทง

ทำยังไงดีๆ หัวจะระเบิดแล้ว

เชาว์ทรุดลงนั่งขอบเตียง กลิ่นเน่าเจือจางโชยมาจากใต้เตียง เขาต้องทำอะไรสักอย่างโดยเร็ว

เอาศพใส่อ่างอาบน้ำ แล้วใช้น้ำกรดราดดีไหม? ไม่หรอกนั่นมันนิยาย จะต้องใช้น้ำกรดเต็มอ่าง แล้วยังไม่รู้ว่าจะได้ผลจริงรึเปล่า

ชำแหละ…คำนี้แวบเข้ามาในสมอง แค่คิดก็ทำให้เชาว์ถึงกับโก่งคออาเจียน เขาเคยอ่านเจอในหนังสือเรื่องที่ฆาตกรโรคจิตชำแหละศพ นั่นมันพวกโรคจิต เขาไม่ใช่

แต่…นี่เป็นทางรอดเดียวไม่ใช่หรือ เขาไม่ได้ปรารถนาจะทำแต่เขาต้องทำ

เชาว์หลับตาเห็นภาพตัวเองใช้มีดสับร่างของดารินออกเป็นชิ้นหัวกระเด็นไปทางหนึ่ง ตับไตไส้พุงหลุดผลัวะออกมากองกับพื้น คาวเลือดคละคลุ้ง เขาต้อง สับ…สับ…สับ ตัดกระดูกข้อมือ ข้อนิ้วเป็นชิ้นเล็กๆ เอาใส่ถุงทยอยขนออกไป

เชาว์คลื่นไส้และอาเจียนอีก เปรี้ยวและขมในลำคอ หนักจนหัวคะมำตกจากโต๊ะ รีบตะกายขึ้นนั่ง เรี่ยวแรงหายหมด

ไม่…ฉันทำไม่ได้ มันโหดร้ายเกินไป

นั่นไม่ใช่การกระทำของมนุษย์

ต้องได้สิ มันเป็นทางเดียวที่เหลืออยู่เธอตายไปแล้ว ไม่ได้รู้สึกรู้สมอะไรด้วย ไม่ว่าแกจะทำอย่างไรกับซากศพนั่น จงลุกขึ้น ไปซื้อมีดคมๆ ทั้งเล็กและใหญ่

สำนึกแห่งการเอาตัวรอด และบรรทักฐานสังคมต่อสู้กันหนักหน่วง

เชาว์หลับตานิ่ง รู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ทะลักออกจากสองตา ช่างมันเถอะให้ตำรวจจับไปเข้าคุก ยิงเป้าก็แล้วแต่เวรแต่กรรม เขาทำไม่ได้จริงๆ

ชายหนุ่มสะอื้นไม่มีเสียง ยอมแพ้ต่อโชคชะตา

แต่…มันกระซิบข้างหู

อย่าเพิ่งยอมแพ้สิ แกยังมีทางรอดเหลืออยู่ ทำฆาตกรรมอำพรางสิ ถ้าทิ้งศพไว้ แพทย์ย่อมตรวจพบว่าเธอถูกอุดจมูกตาย

ทำไมไม่โยนศพลงไป แล้วบอกคนทั้งหลายว่าเธอกระโดดลงไปเองตำรวจคงไม่สงสัย แต่งเรื่องให้สมจริงสมจังหน่อย บาดแผลอื่นก็ไม่มี แกอาจรอด

ใช่ ! เชาว์ตาลุกโพลง เขาเด้งตัวขึ้นจากเตียง ทำไมเราโง่อย่างนี้นะ โยนลงไปเลย ความสูงของตึกแปดชั้นคงช่วยให้ร่างเธอแหลกเหลวจนไม่มีหมอคนไหนอยากชันสูตร ปีกตึกด้านนี้ก็เป็นลานจอดรถ ไม่ค่อยมีคน พอโยนเสร็จก็แกล้งมานอนหลับ ทำทีไม่รู้เองว่าเธอกระโดลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่

เชาว์เด้งตัวจากพื้น หนทางรอดปลุกความหวังและความกระฉับกระเฉงกลับคืน เขาวิ่งไปที่หน้าต่างกระจก ใช้กระดาษทิชชู่จับบานเลื่อนเลื่อนมันไปด้านข้างให้กว้างที่สุด ไม่ต้องการให้มีรอยนิ้วมือปรากฏบนมือจับ

ลมแรงภายนอกพัดพรูเข้ามา อากาศบริสุทธิ์เข้าแทนที่กลิ่นเหม็นเน่าภายในห้อง เชาว์ชะโงกหน้าดูพื้นเบื้องล่าง ลานซีเมนต์กว้่างและมืดไร้คน ป้อมยามอยู่ห่างไปเกือบร้อยเมตร เชื่อว่าเสียงศพกระทบพื้นคงไปไม่ถึง

โชคดีที่เชาว์ไม่ได้เปิดไฟในห้อง มิฉะนั้นหากยามมองขึ้นมาอาจเห็นว่าเค้าเป็นผู้เปิดหน้าต่าง

เมื่อสำรวจจนแน่ใจแล้วเชาว์ก็ถอยกลับมาทบทวนเรื่องราว เขาจะสร้างเรื่องว่ามีปากเสียงกันนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องหึงหวง คนข้างห้องช่วยเป็นพยานได้ หลังจากนั้นก็ได้พูดจาปลอบโยนจนเข้าใจแล้วจึงได้มีความสุขด้วยกัน ซึ่งบ๋อยช่วยเป็นพยานได้อีก หลังจากนั้นเขาก็เพลียหลับไป ฝ่ายหญิงอาจจะคิดมาก จึงแอบเปิดหน้าต่างโดดลงไป

ใช้ได้ เป็นเหตุเป็นผล มีพยานพร้อม

สิ่งสุดท้ายคือ โยนหล่อนลงไปซะ ศพไม่มีความรู้สึกร้อนหนาวอะไรแล้ว คนสิ ยังต้องทุกข์ทนอีกนานนักหนา

เชาว์เดินกลับไปที่เตียง ห้องมืดสนิท แต่ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเอื้อมมือควานไปใต้เตียง

เขาจับถูกหัวเย็นชืดกับผมแห้งกรัง ช่างมันเถอะ คนตาย! จับตรงไหนก็เหมือนกัน ไม่ต้องพิถีพิถันมากความ เชาว์เอามือขยุ้มหัวลากร่างแข็งทื่อไปที่หน้าต่าง กลิ่นเหม็นโชยแรงขึ้นพร้อมกับศพหลุดจากใต้เตียง ชวนสะอิดสะเอียนขนลุกเมื่อจับโดนเนื้อเย็นชืด พองเหมือนสูบลม

เชาว์กลั้นใจ นับ หนึ่ง สอง สาม หลับหูหลับตาทุ่มร่างที่ปราศจากวิญญาณออกไปทางหน้าต่าง มันลอยละลิ่วลงสู่ลานซีเมนต์ที่ปราศจากผู้คน มีเสียงตุ๊บดังขึ้นมาจากพื้นเบื้องล่าง แล้วทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง กลิ่นเหม็นในห้องค่อยๆ จางไป ลมยังพัดพรูเข้ามา เขาไม่คิดจะปิดหน้าต่างเพราะจะเป็นพิรุธให้จับได้ คนโดดตึกตายจะย้อนกลับมาปิดหน้าต่างได้อย่างไร เขารอบคอบเสมอ

เชาว์ล้มตัวลงนอน หลับตา รู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยมันก็เป็นทางรอดที่มองเห็น ขอแต่ควบคุมอารมณ์ให้ดี แสดงละครให้สมจริงสมจัง

เมื่อมีคนพบศพ นั่นคือเวลาชี้ชะตา

เกือบชม.หลังจากนั้น เชาว์ได้ยินเสียงล้งเล้งจากด้านล่าง คงมีคนเห็นศพ พักหนึ่งก็มีเสียงรถหวอแล่นมาแต่ไกล  อาจมีตำรวจตามมาด้วย เขาไม่กล้าลุกขึ้นดู

ไม่ถึงสิบนาที เสียงบู๊ตหนังอย่างน้อยสี่คู่เดินเป็นจังหวะรีบร้อนจากลิฟต์มาหยุดหน้าห้อง

“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เปิดประตูด้วยครับ”

เชาว์รอให้เรียกครั้งที่สองจึงค่อยขานรับ ทำงัวเงียเปิดประตูกว้าง เปิดไฟในห้อง เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ตำรวจสี่นายกับบ๋อยร่างใหญ่ยืนหน้าตาเคร่งเครียดอยู่หน้าห้อง

“มีอะไรหรือครับ” นัยน์ตาแดงก่ำเพราะอดนอนดูสมจริง

“เราพบศพผู้หญิงตกที่พื้นซีเมนต์ตำแหน่งเดียวกับห้องของคุณและเห็นหน้าต่างห้องคุณเปิดอยู่ เชื่อว่ามีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นในห้องนี้ ต้องขอความร่วมมือสอบปากคำและให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจหาร่องรอยการทำฆาตกรรมในห้องด้วยครับ

“ฆาตกรรม…” เชาว์หัวหมุนติ้ว มือไม้สั่น “ไม่ใช่กระมังครับ ผู้ตายเป็นคนรักของผมเอง เรามีปากเสียงกันนิดหน่อย เธออาจจะกระโดดตึกฆ่าตัวตายตอนผมหลับก็ได้”

ตำรวจมองหน้ากัน “คุณแน่ใจหรือครับว่าคนรักของคุณกระโดดตึกตาย”

“แน่ใจครับเพราะก่อนผมหลับ ยังเห็นเธอนั่งเงียบอยู่ข้างหน้าต่าง เธออาจคิดสั้น”

“คงไม่ใช่หรอกครับ มองโลกในแง่ดีไว้ก่อน เธออาจไม่ได้ฆ่าตัวตายก็ได้ เธออาจโกรธคุณเลยหนีกลับบ้านไปแล้วก็ได้” เชาว์งง ตำรวจพูดอะไร

“แต่เมื่อครู่ หมวดบอกว่าเจอศพของเธอ หมายความว่ายังไงครับ?”

“อ๋อ ศพที่ผมกล่าวถึงเมื่อครู่เป็นศพของหญิงชราที่ตายจนศพเริ่มมีกลิ่นแล้ว สันนิฐานว่า เธอคงถูกฆ่าประมาณหนึ่งวันก่อนที่คุณจะเข้ามาพัก มีรอยเชือกรัดรอบคอชัดเจน และศพอาจถูกซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่ง เช่น ใต้เตียง โดยคุณซึ่งมาพักต่อจากฆาตกรไม่รู้เรื่อง และก็แปลกที่มีใครบางคนโยนศพจากหน้าต่างห้องคุณเมื่อประมาณชั่วโมงก่อนหน้านี้”

เชาว์ทรุดลงนั่งกับพิ้น คอแห้งผาก

“เอ๊ะ อะไรนั่น” ตำรวจนายหนึ่งชี้มือไปที่เตียง มีเท้าเล็กๆ ซีดเขียวโผล่แลบจากพื้นเตียงหน่อยหนึ่ง

“ใช่เท้าคนรักของคุณรึเปล่า?”

. . .

ขอขอบคุณที่มา หนังสือรวมเรื่องสั้นหักมุม-เขย่าขวัญชั้นดี เรื่อง ศพใต้เตียง โดย สรจักร

error: Content is protected !!