“ถ้านอนในบ้านคงไม่เจอ” สยองที่สุพรรณบุรี

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี ย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ครอบครัวของแชมป์เป็นคนกรุงเทพฯ แต่ป้าไปแต่งงานกับลุงเขยซึ่งแกเป็นคนจังหวัดสุพรรณบุรี แล้วแม่ก็เกิดอยากได้ที่ทำสวนทำไร่ในช่วงบั้นปลายชีวิต แม่ก็ได้คุยกับลุงและถามว่า

“พี่…แถวนั้นเขามีที่แบ่งขายบ้างไหม”

ลุงก็บอกว่ามี แต่ต้องใช้เวลาหน่อยนะ แล้วลุงก็ไปถามให้ คุยไปคุยมาสักระยะก็ได้ที่มาแปลงหนึ่ง ลุงบอกว่าเป็นที่ใกล้ ๆ บ้านของลุงนี่แหละ จะเอาไหม แม่ก็ตกลง แล้วให้ลุงจ้างคนงานเข้าไปทำความสะอาดบ้านในที่แปลงใหม่ให้ก่อน พอถึงวันเดินทางไปดูที่ก็มีแชมป์ แม่ พ่อ ลุงเขยและญาติ ๆ ออกเดินทางกันตอนเย็น ถึงสุพรรณก็ช่วงหัวค่ำ

ลุงเขยเป็นคนขับรถมา ระหว่างทางก็มืดมาก ไฟทางไม่ค่อยจะมี พอขับมาถึงที่ที่แม่ซื้อไว้แล้ว แม่ก็ทักว่า “ตรงนี้ไม่ใช่เหรอพี่ ที่ที่ซื้อไว้” ลุงก็บอกกับแม่ว่า “พอดีว่าในบ้านยังไม่ได้ให้ใครไปเก็บกวาดเลย ไปนอนที่บ้านฉันก่อนดีกว่า แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยมาดูที่กันใหม่”

แต่แชมป์ก็รู้สึกผิดสังเกตที่ว่า ลุงเริ่มขับรถเร็วเหมือนแกเห็นอะไรบางอย่าง แต่แชมป์ก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าแกคงง่วงอยากกลับไปนอนล่ะมั้ง

พอไปถึงบ้านลุง แชมป์ก็สวัสดีทักทายญาติพี่น้อง พอตกดึกผู้ใหญ่ก็ไล่เด็ก ๆ ให้ขึ้นไปนอน เดี๋ยวผู้ใหญ่จะได้คุยกัน แชมป์ก็ขึ้นไปนอนกับพวกน้อง ๆ แล้วคืนนั้นก็ผ่านพ้นไป

จนตอนเช้าเพื่อน ๆ ที่อยู่ที่สุพรรณก็มาหาแชมป์ และถามว่าได้ข่าวจะซื้อที่ที่นี่เหรอ จะไปดูด้วยกันมั้ย ปั่นจักรยานไปด้วยกันก่อนก็ได้ ทั้งหมดก็พากันปั่นจักรยานไปจนถึงที่แปลงนั้นที่แม่ซื้อไว้

ที่ที่ซื้อไว้นี้เป็นนาทั้งหมดสี่แปลง ด้านหลังจะมีบ้านของลุงอีกคนที่รู้จักกัน ข้าง ๆ จะเป็นวัด แชมป์ก็คุยเล่นกับเพื่อนว่า “ซื้อที่ติดวัดเลยเหรอ กลางคืนไม่เจอผีกันเหรอวะเนี่ย” เพื่อนก็บอกว่า “อย่าพูดสิวะ!” แล้วแชมป์ก็ไปเล่นกับพวกเพื่อน ๆ ตามประสาเด็ก ๆ

แชมป์รู้จักกับลุงที่อยู่ข้างหลังบ้าน เลยบอกกับลุงว่า “ลุงผมขอไปตกปลาแถว ๆ บ่อข้าง ๆ บ้านลุงได้ไหมครับ” ลุงก็บอกว่าได้ แชมป์ก็ไปตกปลาจนถึงบ่ายสาม เพื่อน ๆ ส่วนใหญ่ก็มารวมกลุ่มนั่งคุยกัน แชมป์นั่งตกปลาหันหลังให้เพื่อน โดยอยู่กับเพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อว่า โม่ ตอนนั้นแชมป์รู้สึกแปลก ๆ เลยบอกกับโม่ว่า

“โม่ เอ็งนับเพื่อนสิมีกี่คน”

“ทั้งหมดแปดคน ก็เรามาแปดคนนี่หว่า เอ็งเป็นอะไรวะ ถามทำไม”

“ข้ารู้สึกเหมือนมีใครจ้องข้าอยู่”

“จ้องมาจากทางไหน”

“จากบนหัวเราเนี่ย”

“เฮ้ย! จะบ้าเหรอ ใครจะไปนั่งบนต้นไม้”

ถึงแม้จะเงยหน้าขึ้นไปมองหลายครั้งแล้วก็ไม่เจออะไร แต่ความรู้สึกตอนนี้ก็ยังเหมือนว่ามีใครจ้องมองมาจากบนนั้นจริง ๆ แต่ก็คิดว่าตัวเองคงคิดมากไปเอง

พอตกเย็นทั้งหมดก็พากันเดินกลับออกมาจากบ่อ โม่ก็ถามว่า “คืนนี้ให้ข้ามานอนเป็นเพื่อนไหม เอ็งจะได้ไม่กลัว” โม่นั้นเป็นเด็กวัดก็เลยไม่กลัวผีอยู่แล้ว แชมป์ก็บอกว่า “ไม่เป็นไรข้านอนได้ ไม่เป็นไรหรอก”

พอตกกลางคืน ทุกคนในบ้านก็จะมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ในที่แปลงใหม่ ตอนกลางคืนก็มีการนั่งสังสรรค์ดื่มกินกันอยู่หน้าบ้าน แชมป์ที่กำลังกางเต็นท์อยู่ จู่ ๆ ลุงเขยก็เดินมาถามว่า

“แชมป์…คืนนี้จะนอนเต็นท์จริง ๆ เหรอลูก?”

“ครับ ข้างในคนเยอะ มันอึดอัด ผมเลยอยากนอนข้างนอก อากาศเย็นสบายดีครับ”

“จะดีเหรอ ลุงว่านอนข้างในดีกว่าไหม”

ตอนนั้นแชมป์ก็งงว่าทำไมลุงต้องเซ้าซี้ ทำไมต้องถามย้ำ แชมป์ก็เลยตอบไปว่า “ไม่เป็นไรครับ ผมนอนได้” แล้วก่อนที่ลุงแกจะเข้าบ้าน แกก็ถอดพระจากคอเอามาให้แชมป์ แล้วพูดว่า

“เอาคล้องคอไว้นะลูก ถ้าเกิดคืนนี้เจออะไร ก็จงมีสตินะ”

“ครับ ๆ”

แชมป์ก็ตอบไป แต่ในใจก็งง ๆ

‘อะไรวะ จะมีขโมย หรือผี หรือยังไง’

คืนนั้นแชมป์ก็เข้าไปในเต็นท์ที่เตรียมไว้ คนอื่น ๆ ที่นั่งกินกันอยู่ข้างนอกก็เข้าบ้านกันไปหมดแล้ว นอนไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ต้องสะดุ้งตื่น มองดูนาฬิกาเวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่ง แต่ข้างนอกบ้านเวลานี้ ความเงียบบวกกับอากาศที่เย็นลง มันดูเหมือนเป็นเวลากลางดึกสงัดเลย แต่ก็บอกกับตัวเองว่าคงคิดมากไปมั้ง เลยมุดตัวกลับเข้าไปนอน

นอนไปได้พักเดียว ก็ได้ยินเสียงหมาหอนค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ เสียงหมาหอนดังมาจากทางวัด ดังไล่มาจนถึงหลังบ้านของลุงที่แชมป์ไปตกปลา พอทิ้งช่วงเสียงหมาหอนก็มีลมพัดวูบมา พร้อมกับเสียงที่ดังแว่วมาจากที่ไกล ๆ

วี๊ดดดดดดดด…

มันเป็นเสียงคล้ายเสียงนกหวีด แชมป์ก็เกิดสงสัยเลยเปิดเต็นท์ออกไปดู สอดส่ายสายตามองหาต้นตอของเสียงว่ามาจากไหน มองไปทางวัดก็ไม่มี ก็กวาดสายตาไปจนทั่ว จนมองไปที่บ้านลุงข้างบ้าน แชมป์จำได้ว่าบ้านของลุงมีต้นมะม่วงอยู่สองต้น แต่ตอนนี้กลับเห็นเป็นสามต้น!

‘เฮ้ย! ตอนเช้าเห็นสองต้นนี่หว่า มันมาจากไหนอีกต้นวะ’

แชมป์พยายามเพ่งมอง สักพักก็เห็นเป็นเงาขนาดใหญ่กำลังขยับอยู่ พอแชมป์เห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งไปหลบในบ้านก่อน

‘ใช่หรือเปล่าวะ ตาฝาดหรือเปล่าวะเนี่ย’

แชมป์ขยี้ตาตัวเอง แต่พอดูอีกทีเงานั้นก็ไม่อยู่แล้ว กวาดสายตามองไปทั่วก็ไม่เจอ เวลานี้รู้สึกว่าการนอนเต็นท์ครั้งนี้คงไม่ดีแล้ว แต่จะให้ไปนอนในบ้านก็อึดอัด เขาเลยคิดขึ้นมาได้ว่ามีบ้านต้นไม้อยู่นี่ เลยตัดสินใจจะขึ้นไปนอนบนนั้น

ข้างบนก็มีเสื่อนอน มีหมอนไว้ แชมป์ก็เอาบันไดมาพาดแล้วปีนขึ้นไป ข้างบนจะมีตะเกียงจุดไฟติดไว้ พอจังหวะที่แชมป์กำลังจะดับตะเกียง เสียงแปลก ๆ ที่ลอยมาตามลมนั้นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

วี๊ดดดดดดดด…

แต่คราวนี้เสียงเหมือนอยู่ใกล้มาก และก็มีความรู้สึกเหมือนว่ามีใครกำลังจ้องมองอยู่ทางหน้าต่างด้านขวา

แชมป์หันควับไปมอง และภาพที่เห็นตรงหน้าปรากฏเป็นร่างดำทะมึนสูงใหญ่ ใบหน้าที่ดวงตาปูดโปนสีแดงก่ำ ร่างนั้นก้มลงมามองขณะที่มือโอบจับตัวบ้านต้นไม้ไว้ เมื่อเห็นแบบนั้นแชมป์ก็ตกใจสุดขีดจนช็อกเป็นลมหมดสติไป!

ตื่นเช้ามาลุงก็ขึ้นมาปลุก แชมป์ตัวร้อนจี๋ ไข้ขึ้นสูง ลุงเหมือนจะรู้ว่าเมื่อคืนแชมป์เจออะไร หลังจากให้กินยาก็พาแชมป์ไปวัดและให้พระพรมน้ำมนต์ให้ ก่อนจะพากลับมาพักผ่อนที่บ้าน

หลังจากตื่นขึ้นมาแชมป์ก็เล่าให้ลุงฟังว่าเมื่อคืนเจออะไร ลุงก็บอกว่า

“อืม…น่าจะเชื่อลุงเสียตั้งแต่ทีแรก”

“แล้วที่ผมเจอมันคืออะไรครับ”

“สิ่งที่เราเห็นมันคือ เปรต! คืนนั้นที่ลุงขับรถมาจำได้ไหม ลุงก็เห็นมัน ลุงถึงไม่เลี้ยวเข้ามาในบ้านไง”

ลุงยังเล่าให้ฟังต่ออีกว่า เมื่อหลายปีก่อนมีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง นิสัยไม่ดี เอาแต่ใจ ถ้าไม่ได้ดั่งใจก็จะตีแม่ จะด่าว่าแม่ แล้วมีอยู่วันหนึ่งเขาก็ขับรถไปกับเพื่อนแล้วรถเกิดพลิกคว่ำ เด็กวัยรุ่นคนนั้นคอหักตายคาที่ วิญญาณเลยมาเกิดเป็นเปรต ปรากฏกายร้องขอส่วนบุญส่วนกุศลจนถึงทุกวันนี้

คืนต่อมาแชมป์ก็เข้าไปนอนในบ้าน ไม่เอาอีกแล้วนอนนอกบ้าน ถึงแม้จะไม่เห็นเป็นตัวเป็นตนแบบครั้งก่อน แต่ในกลางดึกก็ยังคงได้ยินเสียงหวีดร้องดังแว่วมาตามลมอยู่ดี

error: Content is protected !!