[ผู้มาจากเมืองมืด] โดย ครูเหม เวชกร เรื่อง คนละทาง (ตอนที่ ๒)
<<< คนละทาง ตอนที่ ๑
มีอยู่วันหนึ่งที่นันทวันถึงกับชะงักตกใจนิดหน่อย แต่รีบระงับใจไว้ เพราะเธอเป็นผู้รักษาวินัยของภรรยาที่ดีมาเป็นอย่างยอดเยี่ยม ไม่เคยประพฤติอะไรนอกรีตนอกรอยไปเลย โดยวันนั้นนิกรพูดว่า เขารู้จักความหลังของนันทวันมาแล้วเป็นอย่างดี โดยคนผู้หวังดีและรักใคร่คนหนึ่งเป็นผู้บอกเล่าให้ฟัง ว่านันทวันเคยมีพระเอกมาแล้ว และพระเอกคนนั้นก็เคร่งในเกียรติและเคร่งในความดี ทั้งนันทวันเองก็เคร่งอยู่ในเกียรติและหลงความดีความงามเป็นชีวิตจิตใจ จนทั้งสองได้ชื่อว่า สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีตัวอย่าง
แต่ในเวลานี้สุภาพบุรุษนั้นได้ตกต่ำทางใจ และความเป็นอยู่ดังคนนรกไปแล้วอย่างน่าสงสาร โดยยึดมั่นในถ้อยคำที่ให้ไว้ว่าจะรักษาสัตย์ จะไม่ทำอะไรให้คนที่เขารักมีมลทินแม้เท่าเล็บมือ เขาจะขอสู้ชะตากรรมไปแต่ฝ่ายเดียว
ในขณะที่สามีพูดเรื่องนี้นั้นนันทวันจ้องดูหน้าสามี และยืดตัวตรงสู้หน้าฟัง อันความหลังเก่าก่อนนั้นจะถือเอาเป็นความผิดมิได้ เพราะปัจจุบันเธอไม่มีอะไรผิด ก็อยากฟังว่าสามีจะลงโทษเธอประการใด เธอสะอาดและขาวผ่อง เธอกล้าหาญพอจะฟังเขาต่อไป แต่เปล่าเลย นิกรผู้สามีมองหน้าภรรยาแล้วหัวเราะและกล่าวว่า
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นเลยสุดที่รัก ฉันบูชาและยกย่องเธอว่าเป็นผู้หญิงตัวอย่างหรือแม่พระทีเดียว ฉันไม่เป็นคนที่ชอบฟังอะไรๆ มาอย่างครึ่งๆ กลางๆ ฉันรู้จักคุณเอนกดีจนกระทั่งบิดามารดาเขา”
“คุณสอบสวนความหลังของนันท์?” นันทวันถามเรียบๆ
“ถูกแล้ว! แต่ที่รักอย่าลงโทษฉันเลยที่ละลาบละล้วง สามีทุกคนจะต้องรู้จักภรรยาสุดที่รักของเขาเป็นอย่างดี สุดที่รัก ฉันบูชาเธอจริงๆ และก็บูชาเอนกด้วย มนุษย์ผู้น่าสงสาร เธอรู้ไหมว่าเวลานี้เอนกมีความเป็นอยู่เยี่ยงสัตว์ตัวหนึ่ง”
“มีความเป็นอยู่เยี่ยงสัตว์?”
“ถูกแล้ว! ผู้บอกเล่าความเป็นอยู่ของเขาก็คือเพื่อนของเอนกเอง เขาบอกเล่าแต่เพียงเรื่องราวเท่านั้น แต่ที่อยู่ของเอนกกับแม่เมียผู้เป็นหญิงกลางเมืองนั้น เขายังไม่ได้บอก ก็พอดีเขาต้องเดินทางไปต่างประเทศเสียแล้ว ขั้นแรกคิดว่าเท่าที่รู้อะไรๆ มาเท่านั้นก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้ที่อยู่ของเขา”
“ได้เมียหญิงกลางเมือง?” นันทวันทวนคำ
“ถูกแล้ว นางกลางเมืองและด่าสับโขกสุภาพบุรุษของเรา อย่างลูกสุภาพบุรุษของเราไม่เคยโต้เถียงเลย ใจดี จะเป็นต่อหน้าใครๆ เพื่อนฝูง ที่คนแม่ก็ด่าทั้งนั้น ถ้านึกจะด่า”
“อนิจจา!” นันทวันร้องได้คำเดียวแล้วก็นิ่งอึ้ง “น่าสงสารที่สุด ฉันสงสารและครุ่นคิดเงียบๆ มาหลายวันแล้ว ลูกผู้ชายที่แพ้เกมรัก เขาแพ้ฉัน ฉันได้ครองตัวเธอโดยฉันมีหลักฐาน ทำอะไรๆ ได้ถูกต้องสมเกียรติ แต่เขาไม่มีทุกๆ อย่างเท่านั้น เขาก็ยอมแพ้ฉันโดยรักษาเกียรติเป็นอย่างดี”
“คุณจะเอามาพูดทำไม มันเป็นเรื่องเก่าที่แล้วมา”
“แต่ใจมนุษย์น่ะซีนันท์ ใจเมตตาและกรุณาสัตว์มนุษย์ด้วยกัน ฉันไม่ใจดำพอจะรื่นรมย์ที่รู้ว่าอีกฝ่ายพ่ายแพ้อย่างน่าสงสาร เขาไม่ได้แพ้อย่างอวดดี แต่เขาแพ้อย่างรักดีรักเกียรติ”
นันทวันถอนใจเฮือก เธอเพิ่งจะพบชายเข้าอีกคนหนึ่งที่เป็นพ่อพระ เธออยากจะร้องไห้ด้วยความรู้สึกสองนัย นัยหนึ่งสงสารเอนก นัยหนึ่งสงสารนิกรสามี ทั้งปีติใจล้นพ้นที่ได้พบกับชายชั้นยอดตัวอย่างเข้าฉะนี้ เธอซบศีรษะกับอกสามีและพูดเบาๆ พอได้ยิน
“ฉันไม่เคยมีความเศร้าใจอะไรมานานแล้ว เคยทะนงว่ารู้อะไรดี ขนาดรู้เท่าถึงการณ์ คนดีต้องย่อมพบแต่ทางที่ดีตามแนวทางแห่งตน แต่ก็มารู้อะไรไม่ทั่ว เช่นว่า คนดีย่อมพบสิ่งที่ไม่เคยคิดประสงค์มาเลยแต่ไรมาก็ได้เช่นเอนกนี้”
“ฉันจะหาทางช่วยเขาให้พ้นขุมนรก!” นิกรพูดออกมาคล้ายสาบาน มากกว่าจะพูดบอกเล่ากับนันทวัน
เป็นเวลาปีกว่าที่นิกรกับนันทวันพยายามสืบหาตัวเอนก น่าประหลาดนักที่สองผัวเมียกลับมาเป็นทุกข์ในชีวิตเอนกด้วยกันทั้งสอง นันทวันเคยจดหมายไปถามทางบิดามารดาของเอนกเรื่องที่อยู่ เพราะครั้งก่อนเคยติดต่อจดหมายกันเสมอ แต่ได้รับจดหมายตอบจากบิดามารดาเอนกว่า ไม่เคยพบหน้าลูกชายเลย เคยได้รับแต่เงินที่ส่งมาจุนเจือก็โดยทางธนาณัติทุกคราว จึงเป็นอันไม่รู้เรื่องกัน
ในคืนหนึ่งโดยบังเอิญ นันทวันกับนิกรไปงานบ้านเพื่อนที่พระโขนง ขากลับบ้านที่สาทรได้ให้รถลัดมาคลองเตยเป็นการย่นทาง รถได้เลยปากทางท่าเรือคลองเตยมาเล็กน้อยในยามดึก ไฟหน้ารถของนิกรส่องจ้าไปข้างหน้า ตอนนั้นรถน้อยลงมากไม่สับสนนัก
“นิกรคะ! นิกร! นั่นเอนก”
นันทวันเขย่าร่างสามีที่นั่งอยู่ข้างๆ พร้อมกับชี้มือไปข้างหน้า นิกรผงะ เขาเห็นร่างของชายคนหนึ่งเดินหันหลังให้ หิ้วกระเป๋าอะไรไม่รู้ ท่าทางอิดโรย ขอบถนนที่เขาเดินอยู่ไม่มีทางเท้าและมีน้ำเฉอะแฉะ จะว่าน้ำโคลนขังก็ไม่แน่นัก ทั้งโคลนและทั้งน้ำน่ารำคาญ
นิกรรวดเร็วทันใจสั่งคนรถหยุดทันทีตามมือที่เขาชี้ ผู้ที่เดินกำลังก้มๆ เงยๆ เพราะหาทางที่ไม่หล่มพอจะวางเท้าลง เขาทำท่าจะเลี้ยวข้ามสะพานเตี้ยๆ เก่าๆ เข้าตรอก
“คุณเอนก! คุณเอนก!” นันทวันร้องเรียกชื่อเขาอย่างกระชั้น ร่างของชายนั้นหยุดชะงักและค่อยหันหน้ามาทางเสียงแล้วก็จังหน้ากัน ไฟริมถนนยังพอมองเห็นหน้ากันถนัด เอนกนิ้วกระเป๋าทรัมเป็ตเก่าๆ ยืนนิ่ง ครั้นนิกรและนันทวันทำท่าเปิดประตูรถจะลงยังพื้นถนน เอนกยกมือห้าม และชี้ให้ดูที่น้ำและโคลน ทั้งสองจึงชะงักอยู่บนรถ
“พูดอยู่บนนั้นก็ได้” เอนกพูดช้าๆ เสียงแหบแห้ง อาจจะด้วยฤทธิ์เมาหรือกำลังไม่สบายก็ไม่มีใครทราบ
“ผมอยากพบคุณ และตามหาตัวมานานแล้ว” นิทรเริ่มพูด
“ฉันก็เช่นกัน เราทั้งสองสืบหาแทบทุกวัน” นันทวันพูดตามสามี เอนกยืนนิ่งคล้ายแปลกใจหรือไม่ยินดียินร้าย
“ขอบพระคุณ” เขาค่อยๆ ตอบ และกลับย้อนถาม “มีอะไรให้ผมช่วยหรือ?”
“ผมจะช่วยคุณ ผมมีทางจะช่วยคุณให้พ้นจากขุมนรก”
“คุณคิดว่ายังงั้นรึ?” เอนกถามคล้ายไม่พอใจ
“ถูกแล้ว! คุณก็ลูกผู้ชาย คุณย่อมรู้ดีว่ากำลังเป็นอย่างไร” นิกรตอบ เอนกนิ่งชั่วครู่แล้วก้มหัว
“ก็ถูกอย่างคุณว่า ผมปล่อยไปตามทางของมันเสียแล้ว” เอนกพูดเสียงแห้งๆ คล้ายหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต
“ไม่ได้! เราต้องการช่วยคุณ” นันทวันว่า
“ผมรักคุณ คุณเอนก ผมมีทางช่วย ขอให้ผมช่วยเถิด“ นิกรพูดอย่างร้อนรน เอนกยืนอึ้ง แปลกใจในความตั้งใจของชายที่มีโชคดีและได้ยอดดวงใจไปครอง แม้นันทวันเองก็ถึงสะอึกใจ นิกรสามีเธอช่างเป็นพระ หัวใจช่างสูงอะไรอย่างนี้
“ผมเอารถบุกเข้าไปบ้านคุณได้ไหม?” นิกรถาม
“อันตราย!” เอนกยกมือห้าม และชี้ให้ดูสะพานที่เก่าและมีหักบ้างบางตอน “พูดกันที่นี่แหละ ผมขอบคุณคุณทั้งสองเท่ากับขอบคุณคุณพระคุณเจ้า” เขาว่า
“คุณอยู่เข้าไปลึกไหม ช่วยบอกด้วย ถามใครรู้ไหม พรุ่งนี้ผมจะมาหาคุณ คุณช่วยบอกตำแหน่งด้วย” นิกรพูดเร็วปรื๋อ
“ขอบคุณเป็นอย่างสูง แต่คุณกำลังคิดผิดทั้งสองคนนะ คนนรก คุณจะช่วยได้อย่างไร ถามหาผมง่ายครับ คนนรกอยู่ที่ใดคนก็รู้จัก” เอนกพูด แต่นิกรไม่ยอมฟังคำแย้งอะไรจากเขาทั้งนั้น รีบถามว่า
“กลางวันคุณอยู่เสมอใช่ไหม?”
“ครับอยู่เสมอ” เอนกพูดแล้วยกกระเป๋าขึ้นประกอบการไหว้ เท่ากับไล่นิกรและนันทวัน “คุณกลับกันเถิด อย่าทรมานกายให้เป็นบาปแก่ผมเลย ขอให้พระโปรดคุณทั้งสองเถิด” พูดแล้วหันเดินข้ามสะพานนั้นไปอย่างไม่ยอมจะฟังอะไรอีก
ทั้งนิกรและนันทวันมองเห็นเอนกหายไปในความมืดของตรอกจึงจนใจ สั่งคนรถขับกลับบ้าน พอขึ้นตัวตึกคนใช้ก็รายงานว่า เมื่อตอนหัวค่ำมีชายแก่ๆ กับหญิงแก่มาหา บอกว่าชื่อนายประสบและนางมณี สุนทรกิจ นันทวันสะดุ้ง นั่นคือพ่อแม่ของเอนก
“เอ๊ะ เขามาว่าอะไรบ้าง? คุณนิกรคะ สองคนที่ว่านี้คือพ่อแม่ของเอนก”
“อุบ๊ะ! บทจะพบก็พบกันหมดทั้งสองทาง เขาสั่งอะไรไว้บ้าง” นิกรพูดแล้วถามคนใช้
“เขาพูดว่ามีเรื่องแปลก และมีจดหมายแปลกมาถึงเขา ทั้งกล่าวชื่อของท่านและคุณนายไว้ในจดหมายนั้นด้วย เขาไม่พบท่าน เขาเลยเอาจดหมายกลับไปด้วยครับผม” คนใช้ว่า
“เอ! อะไรนี่แฮะ นี่จนใจว่าดึกแล้ว” นิกรงุ่นง่าน
“พรุ่งนี้เช้าค่ะ คุณหยุดราชการด้วย” นันทวันพูด
“จริงสิ ต้องไปแต่เช้าเลย นันท์รู้จักบ้านใช่ไหม?”
“รู้จักค่ะ”
พอรุ่งเช้า นิกรและนันทวันก็มาถึงบ้านพักของบิดามารดาเอนก เป็นบ้านใหญ่แต่ชราภาพจวนพัง มีบริเวณบ้านที่ปลูกกระต๊อบให้เจ๊กขายของหาบเช่าอยู่รุงรัง พอเป็นรายได้จุนเจือฐานะ นายประสบและนางมณี สุนทรกิจ ออกมาต้อนรับ เมื่อพูดกันรู้เรื่องแล้ว นายประสบยื่นจดหมายนั้นให้แก่นิกรพร้อมกับรายงานว่า จดหมายนั้นได้มาถึงตัวแกตอนบ่ายๆ เมื่อวานนี้
จดหมายนั้นเป็นจดหมายของเอนกนั่นเอง ประหลาดที่ว่าเป็น จดหมายลาตายของเขา เขาลงโทษตัวเองว่าเป็นคนที่ไม่ทำตนให้เป็นที่พึ่งของบิดามารดาได้ และขอลาตาย ทั้งจะตายโดยไม่ให้ใครลำบากแก่ซากศพของเขา โดยเขามีที่เก็บศพของเขาแล้วเป็นอย่างดี ขอให้ทราบว่า กว่าจดหมายนี้จะมาถึง เขาได้ไปตายแล้วยังที่ที่หนึ่ง ขอให้บิดามารดาเขียนชื่อของเขาใส่กระดาษแล้วทำการบังสุกุล พร้อมทั้งเผาไฟไปอย่างเผาศพของเขาจริงๆ และข้อสำคัญที่ยิ่งใหญ่จงเร่งไปบอกกับคุณนันทวันและคุณนิกรว่า ถ้าทั้งสองประสงค์จะช่วยเหลือตัวเขา ก็ช่วยทำบุญกรวดน้ำไปให้เถิด เพราะตามที่คุณนันทวันและคุณนิกรได้พบกับเขาและอยากจะช่วย เขานั้นไม่มีทางใดจะช่วยได้ จงช่วยทำบุญร่วมกับพ่อแม่เถิด กว่าจดหมายนี้จะมาถึง เขาได้ตายไปแล้วหลายวัน คุณนิกรไม่มีทางจะช่วยเขาให้พ้นนรกได้
“บ้า! บ้าสิ้นดี” นิกรร้องอย่างโกรธ “เล่นพิเรนทร์อะไรกันนี่ ผมพบเขาเมื่อคืนนี้”
“ถูกแล้ว เราพบกันค่ะ เมื่อคืนนี้ที่ปากตรอกบ้านเขา” นันทวันว่า
นิกรพลิกซองจดหมายดูเห็นเป็นไปรษณีย์มาจากภูเก็ต ทำให้เขาอ้ำอึ้งไปหน่อยหนึ่ง สอบปากคำอีกก็แน่นอนว่า จดหมายนั้นได้รับตอนบ่ายๆ วานนี้ เป็นเวลาก่อนหน้าที่เขากับนันทวันจะพบกับเอนก แต่ที่น่าปวดหัวที่สุด ในจดหมายนั้นพูดว่าตัวเอนกได้พบกับนิกรและนันทวันแล้ว และเขาทั้งสองตั้งใจจะช่วยเอนก และซ้ำยังย้ำว่าจะช่วยเขาให้พ้นนรกนั้นไม่มีทาง นั่นมันคำพูดของเอนกเมื่อคืนนี้ยามดึกแท้ๆ แต่แล้วจดหมายมาถึงบิดามารดาก่อนนั้นอย่างไร
“วุ่นเสียแล้ว!” นิกรร้อง “กรุณาแต่งตัวครับ ไปกับผมเดี๋ยวนี้”
บิดามารดาเอนกร้องไห้ แต่นิกรกับนันทวันหน้าเหี้ยม เพราะเชื่อว่าเอนกเล่นพิเรนทร์ ถึงจะสงสัยใจในความอลเวงคำในจดหมายและเวลารับจดหมายก็ตาม แต่เขาเชื่อว่าเอนกทำกลลวง
นิกรทิ้งรถพากันมาหยุดปากตรอกเมื่อคืนนี้ รีบพากันตรงเข้าตรอก และถามตามห้องเจ๊กห้องจีนในตรอกที่สกปรกนั้น หาไม่ยากจริงๆ อย่างเอนกพูดเมื่อคืน พวกลูกเจ๊ก อาม่วยอาตี๋รู้จักดี พวกอาซิ้มชี้ให้ดูและว่าน่ารำคาญเมียด่าทุกวัน ผัวดีจริง ไม่เคยเถียงเลย ดึกๆ ตื่นๆ ตึงตัง เมียขว้างของอะไรต่ออะไรเปรี้ยงปร้างเสมอ ถามเจ๊กถามแขกก็เล่าให้ฟังดังนี้ ทั้งหมดที่ไปถามหาต่างหน้าสลดตามๆ กันด้วยความสังเวช
ทั้งหมดได้มายืนอยู่หน้าห้องชั้นเดียวเก่าๆ ห้องหนึ่ง สังเกตว่าเดิมจะเป็นห้องเก็บของของพ่อค้าจีนแล้วให้ผัวเมียคู่นี้อยู่ ห้องนี้ไม่ติดกับห้องใดๆ อยู่โดดๆ
นิกร นันทวัน และบิดามารดาเอนกได้รับการต้อนรับอย่างมึนชาจากแม่เมียนางกลางเมืองของเอนก แม่นั่นเชิญให้นั่งอย่างเสียมิได้ เมื่อรู้ว่าทุกคนไปหาเอนก แม่เจ้าของห้องไม่พูดอะไร เดินไปหยิบซองจดหมายจากในตู้มาส่งให้นิกร แล้วจุดบุหรี่สูบอย่างไม่แยแสกับใครทั้งนั้น นิกรอ่านจดหมายนั้นจนจบ มันก็เป็นจดหมายลาเมียไปตายแบบเดียวกับที่มีไปลาพ่อแม่
“เป็นไปไม่ได้!” นันทวันร้อง “เราพบกันเมื่อคืนนี้ที่ปากตรอก คุยกันหลายนาที”
“ฮะ?” แม่ฟองสวาทผู้ไม่ต้องการมารยาทตวัดเสียงถามนันทวัน
“ต้องปดฉันทําไม” นิกรว่า “ฉันมาดี ไม่ได้มาร้าย จะมาช่วยเขา”
“ก็นั่นแหละ อ่านจดหมายไม่รู้เรอะ ไม่ได้พบกันมาตั้งสองอาทิตย์แล้ว” แม่ฟองสวาทพูดอย่างหน้าตาขึงขัง ดวงตาเบิกโพลง “เมื่อคืนว่าพบเรอะ เอ๊ะ พ่อเวรนี่จะเล่นลูกไม้อะไรกะฉันล่ะ เหอ! เป็นผัวเป็นเมียกันมา ฉันต้องทำเงินส่งให้มันบํารุงพ่อแม่ ยังไม่หนำใจเรอะ คิดทิ้งขว้างกัน แบบนี้เรอะ ก็ตามใจซิ ผัวเวรๆ อย่างนี้” แม่นางกลางเมืองด่าส่ง และลำเลิกเบิกประจานพ่อผัวแม่ผัวไปด้วย ไม่เกรงใจใครว่าจะเป็นอะไรกับผัวตัวบ้าง ทุกคนถอนใจแล้วมองหน้ากัน
“ให้ฉันตายโหงตายห่าสิเอ้า” แม่ฟองสวาทสบถสาบานอย่างสบายปาก “พูดจริงๆ นะเอ้า เขาหนีหน้าไปหลายวันแล้ว ผัวทั้งคนใครไม่รัก ถ้าตายจริงอย่างว่าก็จะอโหสิให้ กลัวว่าจะไม่ตายจริงน่ะสิ มาหาทางทิ้งกันแบบนี้ อ๋อ! ตกใจนี่พ่อเอ้ยแม่เอ้ย ผัวคนทําไมหาไม่ได้เรอะ”
“เอาเถอะ! ถ้าจริงอย่างว่า ฉันก็จะเที่ยวตามเขาต่อไป ลาละ” นิกรว่าแล้วก็ชวนกันออกจากห้อง
“ฉันหามาหลายวันแล้ว” แม่ฟองสวาทว่า ทุกคนไม่อยากจะฟังเสียง ออกมายืนนอกห้อง แต่ออกจะเชื่อว่าที่แม่คนนั้นแกพูดต้องจริงแน่ๆ เพราะคนปากกล้าอย่างนี้ไม่เคยกลัวใคร มีอะไรๆ ก็พูดจริงทั้งนั้น
“ไม่เชื่อก็มาดูข้าวของสิ อยู่ทั้งนั้น แต่งไปชุดเดียวหายเลย อ้ายแกรแทมเป็ตแทมปั้ตนั่นก็ทิ้งอยู่” แม่ฟองสวาทร้องตะโกนส่งท้ายมาอีก
กลับมาบ้านนายประสบอีกครั้ง นิกรพลิกจดหมายดูแล้วดูอีก และอ่านทบทวนข้อความอยู่ด้วยความสุขุม และพูดช้าๆ ด้วยดวงหน้าหมองคล้ำ
“คุณเอนกตายแล้วแน่ๆ เมื่อคืนนี้เราพบกับวิญญาณเขาน่ะเอง” นิกรว่า
พ่อแม่เอนกร้องไห้ นันทวันก็น้ำตาไหล นิกรนั้นถอนใจ รู้สึกว่าเอนกมิได้พ่ายแพ้ในเรื่องรักเลย แม้เขาจะมิได้ตัวนันทวันไปครอง แต่เขาก็ยังชนะใจ จัดว่าเขาเป็นฝ่ายชนะอย่างเด็ดขาด เรื่องเก่าไม่พูดถึง แต่เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองหมดหนทางก็ไม่เคยจะคิดอะไรๆ ในทางที่ผิดให้เกิดด้วงเกิดแมงแก่คนรัก เขาชนะอย่างราบคาบ นิกรขอเป็นผู้ส่งเสียเงินทองพ่อแม่เอนกแทนตัวไปกว่าจะสิ้นชีวิต
ที่มา: หนังสือชุด ภูติผีปิศาจไทย ผู้มาจากเมืองมืด โดย เหม เวชกร