“ศพท้ายรถ” เรื่องเขย่าขวัญ โดย สรจักร
มันเป็นคืนที่มืดสนิทราวกับว่าโลกนี้ไม่เคยมีดวงจันทร์เป็นบริวาร
มืดจนแสงรำไรจากหมู่ดาวและทางช้างเผือกกลายเป็นแสงสว่างจากท้องฟ้าเพียงหนึ่งเดียวยามนี้
ขณะที่รถเก๋งญี่ปุ่นสี่ประตูกำลังไต่เขาขึ้นด้วยความเร็วคงที่ อากาศเย็นผสมไอหมอกได้ทะลักเข้ามายังห้องโดยสาร ผ่านบานกระจกที่ปิดไม่สนิท ความเย็นและเสียงหวีดหวิวสร้างความว้าเหว่และหดหูแก่จิตใจผมได้อย่างประหลาด โดยเฉพาะเมื่อต้องขับรถคนเดียวในคืนจันทร์แรมตอนตีหนึ่ง
เมื่อคิดย้อนไป ชวนให้พิศวงอยู่ครามครันว่า ในความมืดและสายหมอกที่โรยรอบด้าน คลับคล้ายคลับคลาจะไม่มีรถนำหน้าหรือตามมาข้างหลังเลยตลอดหลายสิบนาทีที่ผ่านมา หรืออาจจะเป็นชั่วโมงด้วยซ้ำ มีแต่เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์สองพันซีซีที่เพิ่งพ้นระยะรันอิน ผสมกับเสียงหริ่งในหู
ทางไหล่เขาค่อนข้างวกวน ผมประคองรถอย่างระมัดระวังเพราะทัศนวิสัยที่ไม่เอื้ออำนวย รู้สึกหนังตาร้อนผ่าว หัวเบาโหวง คล้ายกำลังลอยเหนือเบาะกำมะหยี่เทียม และภาพถนนที่เคลื่อนผ่านตาตลอดเวลา ขณะนี้เป็นเพียงภาพวิ่งบนจอหนัง ที่มิได้เกี่ยวข้องอย่างใดกับการดำรงอยู่ของผม
พลันเสียงซ่าจากวิทยุท้องถิ่นที่ดังขาด ๆ หาย ๆ ก็ดับไปเสียอย่างนั้น บรรยากาศยิ่งวังเวงขึ้นอีก ผมรู้สึกเหมือนถูกปล่อยเกาะ อยากฟุบตัวลงกับพวงมาลัย เมื่อรถแล่นถึงยอดเนินมืดมิด มีไฟสัญญาณสีแดงกะพริบสลัวใน ม่านหมอก ผมชะลอรถ พยายามลืมตาเต็มที่ แต่ความง่วงเป็นเช่นสนิมเกาะหนังตา
รถตํารวจทางหลวงแอบตัวชิดขอบถนน ตํารวจนายหนึ่งถือไฟฉายอ่อนแสง ยืนโบกกลางถนนเป็นสัญญาณให้หยุด อีกนายหนึ่งยืนหรุบหมวกนิ่งอยู่ขอบทาง
เมื่อรถจอด ทั้งสองเดินช้า ๆ เข้ามาประกบคนละด้านของรถ เขาทำสัญญาณให้ผมเลื่อนกระจกไฟฟ้าลง
“หวัดดีครับ” ผมพยายามยิ้ม รู้สึกว่าหนังตาตกขวางตาดำไว้ครึ่งหนึ่ง อ้าปากหาวแต่กลับหาวค้าง
นายตํารวจหนุ่มทางขวามือไม่ตอบรับคำทักทาย เขาเป็นชายร่างหนา วัยไม่เกินยี่สิบห้า ผิวขาวซีดไร้สีเลือด ตาดำขุ่นขาว ชุดกาที่ยับยู่ยี่ มีรอยถลอกที่หัวไหล่เหมือนครูดพื้นถนนมาก่อน เขาก้มตัวลง หน้าเสมอกระจก จ้องมองผมเงียบ ๆ อ้าปากเหมือนจะถามว่าไปไหน
พลันที่เขาอ้าปาก ผมต้องทะลึ่งตัวจากเก้าอี้ ร้องลั่นด้วยความตกใจ เข่ากระแทกพวงมาลัย เมื่อเห็นลิ้นเน่า ๆ หล่นเผละออกจากปาก เลือดสีดำเป็นลิ่มทะลักตามมา แมลงวันบินหึ่งออกจากรูจมูก
“ขอ…ไป…ด้วย…คน…” น้ำเสียงแหบแห้งเหมือนลมหน้าแล้ง ผมแหกปากสุดเสียง สะบัดตัวหนีสองมือพองเขียวคล้ำที่ยื่นตรงเข้ามาหมายลำคอได้อย่างหวุดหวิด ครั้นถีบร่างไปถึงอีกข้างหนึ่งของรถ ก็พบว่ามีสองมือของอสุรกายอีกตัวคอยอยู่แล้ว
ผมดิ้น…ดิ้น…และดิ้น ปากอ้าค้างหาอากาศเหมือนปลาหมอในคลองน้ำเน่า เท้าถีบพื้นไร้เรี่ยวแรง สองมือดั่งคีมเหล็กจากด้านหลังรัดลำคอแน่นจนอากาศไม่อาจเล็ดลอดผ่านเข้าไปในปอดได้ มีแต่เสียงลั่นเปรี๊ยะในหู นัยน์ตาพร่าพรายด้วยแสงสว่างเป็นจุดกระจายเต็มจอตา เส้นเลือดที่ขมับโป่งพองแทบระเบิด
แล้วมันก็ระเบิดดังปังสนั่นข้างหู จนผมต้องยกเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นเหลือบมอง
เราอยู่ที่ไหนกันนี่? นั่นเป็นคำถามแรกที่ผุดในสมองเมื่อผวาตื่นขึ้น รู้สึกปวดร้าวต้นคอและหัวไหล่ เหงื่อเปียกโชกตลอดแนวกระดูกสันหลังถึงก้นกบ
ผมผงกหัวหน่อยหนึ่งดูทิวทัศน์รอบตัว ภาพที่เห็นกลับเต้นเร่า ๆ เหมือนเงามายา แต่ยังพอเดาได้ว่าน่าจะเป็นมุมมืดบริเวณลานจอดรถของปั๊มน้ำมันที่ไหนสักแห่งริมทางหลวงเพชรเกษม เด็กปั๊มสองคนกำลังใช้เครื่องอัดลมคลายน็อตที่ยึดดุมล้อรถกระบะกลางแสงนีออนหน้าร้านปะยาง เสียงลมจากเครื่องดังปัง ๆ อยู่ไม่ไกล
ผมปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง เป็นเพราะไอ้ยาบ้าที่กินเข้าไปแน่นอน พิษหลอนประสาทและกระตุ้นสมองยังค้างคาในกระแสเลือด ทำให้ผมมีสภาพไม่ผิดกับผีดิบ ยามตื่นก็เหมือนหลับ ครั้นจะหลับกลับมีภาพหลอนปรากฎ ผมจำเป็นต้องหยุดพักริมทางเมื่อราวห้าทุ่มกว่า เพราะไม่อาจจำแนกได้ว่าภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า สิ่งใดจริง สิ่งใดเท็จ และรู้สึกถึงความอ่อนล้าได้เข้ายึดกล้ามเนื้อทุกมัดในร่างแล้ว
มันจึงเป็นการขัดแย้งระหว่างสมองที่ยังตื่นกับร่างกายที่กำลังจะหลับไหล
ผมจะฝืนทนได้นานสักเท่าไรกันนี่?
เมื่อผมระลึกขึ้นได้ว่าภารกิจของตนคืออะไร ร่างพลันสั่นเทิ้มด้วยความกลัว อะไรเล่าที่บังคับให้ผมต้องกินยาบ้าเข้าไปทั้งที่รู้พิษร้ายของมันดี มิใช่สิ่งที่ขดงออยู่ในกระโปรงท้ายหรอกหรือ? พระเจ้า…ผมทําอะไรลงไป? ผมเด้งตัวขึ้นนั่งตัวตรงเหมือนมีสปริงติดหลัง เข็มนับร้อยเล่มกำลังแทงเข้าก้นกบ ไอ้โง่! ผมด่าตัวเอง ใครอนุญาตให้เอ็งมานอนฟุบหน้าอยู่ตรงนี้ อยากติดคุกหรือ?
ผมสตาร์ตรถด้วยมือที่สั่นเทา พยายามตั้งสติถอยรถออกจากลาน ระยำจริง! มัวเผลอหลับได้อย่างไร
ถนนตรงหน้าเหมือนจะส่ายไปมาเป็นงูเลื้อยขณะที่ผมประคองรถออกสู่ถนนใหญ่ เด็กปั๊มชี้ท้ายรถผมแล้วทำเสียงเอะอะ เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะรู้ว่ามีอะไรอยู่ในกระโปรงท้าย หรือบางทีฝากระโปรงอาจเด้งเปิดตอนหลับ ผมเหยียบคันเร่งพารถทะยานพุ่งออกไปจากปั๊มทันที และเมื่อพ้นระยะอันตราย ผมจึงชะลอรถ หันกลับไปมองด้านหลัง
การหันกลับทำให้เสียการควบคุม รถพลันส่ายหัว เอียงวูบเข้าข้างทาง ผมตกใจเท้ากระทืบเบรกด้วยสัญชาตญาณ รถชะงักกึก ผมยึดพวงมาลัยแน่น เหงื่อชุ่มฝ่ามือ สูดหายใจแรง สติที่ยังหลงเหลือบอกตัวเองให้ลงไปตรวจความผิดปกติของฝากระโปรงหลัง
เมื่อก้าวลงเดินไปท้ายรถ รู้สึกหนักเท้าและโลกเอียงไปมา เพราะไอ้ยาบ้าแท้ ๆ แรก ๆ มันกระตุ้นให้ผมนั่งในบ่อนได้สองคืนเต็ม ๆ โดยไม่เหนื่อยล้า แต่ในคืนที่สาม – คืนนี้เอง – โลกที่มีชีวิตชีวากลับเปลี่ยนไป เหตุเลวร้ายเกิดขึ้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ จากเซลส์แมนมือหนึ่งในสายกลายเป็น…
โอ…ไม่…พระเจ้า…
นั่นไง! ในแสงสลัวของไฟนีออนริมทาง ผมมองเห็นมือซีดคล้ำเสมอศอกยื่นห้อยตกออกมาจากกระโปรงท้ายที่แง้มอยู่ ภาพนั้นทำให้ผมบนหัวลุกตั้ง นี่เองที่ทำให้เด็กปั๊มตื่นตกใจ พวกมันอาจโทรศัพท์แจ้งตำรวจแล้ว หรืออาจคิดว่าเป็นเพียงมือปลอมที่พวกจิตวิตถารบางคนชอบติดท้ายรถแกล้งคนบนท้องถนน
ผมยืนโงนเงนมองมือซีดคล้ำนั่นอึดใจหนึ่ง แสงไฟจากรถด้านหลังที่กำลังผ่านมาบอกให้รู้ว่าผมต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ผมเข้าไปยืนชิดฝากระโปรงเพื่อขวางสายตา และเมื่อรถแล่นผ่าน ผมรีบยกฝากระโปรงขึ้น
ร่างของชายอ้วนคนหนึ่ง – คนที่ผมรู้จักดี – นอนตะแคงตัวคุดคู้อยู่ในนั้น หน้าซีดปราศจากสีเลือด ท่อนบนเปลือย ท่อนล่างนุ่งกางเกงลิง มองเห็นขนหยาบที่ต้นขาอันอุดมด้วยไขมัน ผมใช้เท้างัดแขนนั่นให้เข้าไปข้างใน แล้วกระแทกฝากระโปรงโดยแรง แต่เพราะความแคบของกระโปรงท้าย ฝากระโปรงจึงไปกดแขนอ้วน ทําให้มันยื่นออกมาขัดฝากระโปรงรถไว้อีก ผมพยายามสามครั้งก็ได้ผลเช่นเดิม มีทางเดียวคือ ถีบศพให้มุดลึกเข้าไปข้างในเพื่อให้เกิดที่ว่างมากขึ้น
ผมใช้สองมือยึดฝากระโปรงไว้แน่น ยกเท้าข้างหนึ่งถีบกลางพุงกลมเหมือนลูกแตงโมด้วยความขยะแขยง ร่างอ้วนแทบไม่ขยับเพราะไหล่และเอวครูดอยู่กับส่วนโค้งของพื้น ผมจึงดึงขาถอยมาหน่อยหนึ่งแล้วถีบสุดแรง
มีเสียงดังโพละ!
ขาของผมจมมิดเข้าไปในพุงกลม กระแทกเอาลำไส้เป็นขดทะลักออกมาตามรอยแตก กลิ่นเหม็นเน่าโชยคลุ้ง
อ่านต่อ – ศพท้ายรถ ตอนที่ 2 (จบ)