“ศพท้ายรถ” เรื่องเขย่าขวัญ โดย สรจักร (ตอนที่ 2)

ความเดิมก่อนหน้า – ศพท้ายรถ ตอนที่ 1

ผมใช้สองมือยึดฝากระโปรงไว้แน่น ยกเท้าข้างหนึ่งถีบกลางพุงกลมเหมือนลูกแตงโมด้วยความขยะแขยง ร่างอ้วนแทบไม่ขยับเพราะไหล่และเอวครูดอยู่กับส่วนโค้งของพื้น ผมจึงดึงขาถอยมาหน่อยหนึ่งแล้วถีบสุดแรง

มีเสียงดังโพละ!

ขาของผมจมมิดเข้าไปในพุงกลม กระแทกเอาลำไส้เป็นขดทะลักออกมาตามรอยแตก กลิ่นเหม็นเน่าโชยคลุ้ง

ผมอาเจียนโอ้ก สะดุ้งตื่นทันที

ที่ไหนกันนี่? ผมสะบัดหัวงัวเงีย ภาพที่เห็นกลับเต้นเร่า ๆ เหมือนเงามายา แต่ยังพอเดาได้ว่าน่าจะเป็นมุมมืดบริเวณลานจอดรถของปั๊มน้ำมันที่ไหนสักแห่งริมทางหลวงสายเอเชีย เด็กปั๊มสองคนกำลังงัดยางรถยนต์ให้หลุดออกจากจานล้อ เกิดเสียงดังโพละ ๆ อยู่ไม่ไกล

ที่เดิม…บ้าจริง! ผมยังไม่ได้ขยับไปไหนเลยหรือนี่?

ผมรีบดีดตัวนั่ง พยายามรวบรวมสมาธิ ผมจะเผลอหลับอีกไม่ได้เด็ดขาด ตีสองแล้ว ถ้าสว่างยังเอาศพไปทิ้งไม่ได้ ผมโดนข้อหาฆ่าคนตายแน่

เพราะไอ้ยาบ้านั่นจริง ๆ มันทำให้อารมณ์ปั่นป่วนไปหมด กลายเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย เมื่อสามวันก่อนหน้านี้เอง ผมยังเป็นเซลส์ขายของมือดีของบริษัทเครื่องสำอางข้ามชาติ เดินสายคู่กับบรรลือ พนักงานรุ่นพี่ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมไม่เคยข้องแวะกับการพนัน ตอนแรกที่บรรลือพาผมเข้าไปนั่งในบ่อนก็ยังไม่มีอะไรหรอก แต่แล้วมันค่อย ๆ เปลี่ยนจากการช่วยเชียร์ กลายเป็นช่วยแทงทีละมาก ๆ แล้วอะไรเข้าสิงจิตใจไม่ทราบได้ ผมเข้าไปนั่งเล่นแทนอย่างบ้าระห่ำ

บรรลือตกใจ เขาพยายามพูดชักจูงให้ผมหยุดเล่น เขาบอกว่าผีการพนันเข้าสิงผมแล้ว ช่างเถอะ ผมเพิ่งได้พบว่าการพนันคือสิ่งที่ช่วยเติมรสชาติให้ชีวิตที่เคร่งขรึมในคืนวันที่ผ่านมา มันคือความมันในอารมณ์ที่ผมค้นหามานาน ผมเล่นอย่างบ้าคลั่ง เงินลูกค้าที่เก็บได้ เช็คของบริษัท ทับโถมกันเข้าไปในกองเดิมพัน

และที่นี่เอง ผมได้รู้จักยาบ้า – ยาที่ทำให้ผมกระฉับกระเฉง หูตาไวในช่วงแรก สับสนในช่วงกลาง หดหู่ อยากฆ่าตัวตายสลับการคลุ้มคลั่งในช่วงท้าย

ผมกลับโรงแรมในสองคืนถัดมาหลังจากทรัพย์สินร่วงหายในวงพนันเหมือนทำแหวนเพชรร่วงในทะเล ตอนนั้นแหละที่ความหดหู่เข้าเยือนจิตใจ ผมกินยาบ้าเข้าไปอีกสามเม็ดเพราะต้องการเค้นสมองหาทางออกจากกับดัก บรรลือทั้งปลอบทั้งด่า เดินไปเดินมาจนผมคลั่ง ผมฟาดเขาด้วยเก้าอี้เข้าที่ท้ายทอย เปรี้ยงเดียว ชายปากมากที่ลากผมเข้าไปในแหล่งอโคจรก็ชักแหง็ก ๆ ตายคาพื้น ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นเพียงภาพหลอน แต่ไม่ใช่

หรือ..? ไม่รู้สิ

ผมสะบัดหัวขับไล่ความง่วงที่ถ่วงอยู่ที่เปลือกตา นำรถเข้าสู่ถนนใหญ่อีกครั้ง ผมต้องไม่หลับ พลังงานในกายที่เหลือเพียงน้อยนิดจะต้องใช้เพื่อนำรถคันนี้ไปยังปากแม่น้ำก่อนพระอาทิตย์ขึ้นให้จงได้

รถแล่นไปบนถนนเปลี่ยวอีกครั้งหนึ่ง อาชีพพนักงานขายช่วยให้ผมชำนาญทางแถบนี้ดี เมื่อพ้นเนินเขาลูกหน้าจะมีทางแยกซ้ายไปยังปากแม่น้ำ ตรงนั้นมีสะพานขาดจากเหตุพายุปีที่แล้ว ป่านนี้ยังไม่ได้งบซ่อมแซม

ผมต้องไปถึงที่นั่นให้จงได้

แต่แล้ว เพียงขึ้นพ้นเนิน ผมต้องอุทานด้วยความตกใจ อะไรกันนี่!

ผมมองเห็นไฟสัญญาณสีแดงกะพริบสลัวในม่านหมอก ผมพยายามลืมตาเต็มที่ แต่ความง่วงเป็นเช่นสนิมเกาะหนังตา รถตำรวจทางหลวงแอบตัวชิดขอบทาง ตำรวจนายหนึ่งถือไฟฉายอ่อนแสง ยืนโบกกลางถนนเป็นสัญญาณให้รถหยุด

ไม่รู้เลยว่าภาพที่เห็นตรงหน้าขณะนี้เป็นความจริง หรือเป็นเพียงแค่ความฝันซ้ำซาก แต่สิ่งที่ผมทำคือเหยียบคันเร่งจมมิด เสียงยางรถบดถนนดังเอี๊ยด หน้ารถกระแทกโครมเข้าใส่ร่างตำรวจที่ยืนเงอะงะอยู่

เลือดแดงสาดกระเซ็นติดหน้ากระจกจนมองแทบไม่เห็นทาง กลิ่นคาวเลือดสอดแทรกผ่านช่องระบายอากาศเข้ามา ผมรีบเปิดสวิตช์ฉีดน้ำล้างกระจกขณะรถยังคงแล่นไปเรื่อย ๆ ใบยางปัดน้ำฝนสะบัดน้ำสีเลือดกระเซ็นย้อยเป็นสาย เกาะกระจกหน้าต่าง

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผมเลี้ยวรถเข้าไปตามถนนราดยางเส้นเล็กที่มุ่งสู่ปากแม่น้ำ น้อยคนจะขับรถเข้ามาทางนี้หลังจากที่สะพานข้ามแม่น้ำโดนพายุกระหน่ำขาดกลาง ก่อนนี้ผมเคยมานั่งตกปลาเล่นบ่อย ๆ จึงรู้ว่าระดับน้ำตรงนี้ลึกเพียงใด

สิบนาทีถัดมาผมก็สามารถประคองรถลึกเข้าไปจนมองเห็นสะพานไม้ขนาดใหญ่ที่มีป้ายปักขวางถนนไว้ว่า “สะพานขาดห้ามเข้า” ถนนช่วงก่อนถึงสะพานเป็นหลุมใหญ่จากน้ำหลาก สองข้างทางเป็นป่าโกงกางสลับที่ว่าง มองเห็นทะมั่นในความมืด

ผมจอดรถกลางถนน สูดหายใจอีกครั้งก่อนกดปุ่มเปิดฝากระโปรงท้าย ช่วงเวลาที่น่าขยะแขยงมาถึงแล้ว

ผมกลั้นหายใจลากศพบรรลือลงมาจากกระโปรงท้าย ยัดเข้าไปในที่นั่งคนขับ สภาพศพเริ่มแข็งจนจัดท่านั่งแทบไม่ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักสามสี่เดือน วันที่มีคนพบศพ ตอนนั้นคงเหลือเพียงโครงกระดูกที่ไม่สามารถจำแนกสาเหตุการตายได้แล้ว

เป็นงานที่กินแรงเอาการ แขนขาผมอ่อนแรง ต้องทรุดนั่งกับพื้น หลังจากหอบหายใจครู่หนึ่ง ผมเงยหน้าขึ้นมองในรถ เห็นบรรลือกำลังยิ้มให้ บนหลังคารถมีศพของตำรวจนอนหงาย เลือดสีดำไหลออกจากจมูกและปาก เสียงหัวเราะ เสียงคนพูดคุย เสียงรถหวอ แต่ผมเชื่อว่ามันเป็นเพียงภาพหลอนจากฤทธิ์ยาบ้า มันไม่อาจทำให้ผมนึกกลัวหรือพะวักพะวนได้อีกแล้ว

ผมขึ้นไปนั่งเก้าอี้ข้างคนขับ จัดพวงมาลัยให้ตรง สตาร์ตรถ เคลื่อนเกียร์อัตโนมัติไว้ตำแหน่งดี เอื้อมมือกดคันเร่งแล้วล็อกไว้ รถเคลื่อนตัว ช้า ๆ ไต่ขึ้นเนิน จุดหมายปลายสุดอยู่ที่สะพานขาด

ผมบังคับพวงมาลัยแน่นเมื่อหน้ารถกระแทกป้ายไม้อัด “สะพานขาดห้ามเข้า” มีเสียงดังโครม ซากแข็งทื่อบนที่นั่งคนขับคะมำหน้ากระแทกพวงมาลัย รถยังคงเคลื่อนช้า ๆ ไต่ขึ้นบนสะพาน เมื่อใกล้กึ่งกลางสะพาน ผมปล่อยพวงมาลัย เตรียมโดดลง และตอนนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงดังแกร๊ก ประตูทั้งสี่ล็อกปิดอัตโนมัติ

“เฮ้ย!” ผมร้องลั่น เกิดอะไรขึ้น ผมรีบกดสวิตช์กระจกไฟฟ้าลงเพื่อพุ่งร่างออกไป แต่แล้วกระจกกลับเคลื่อนขึ้นไปใหม่

ในช่วงวินาทีนั้นเอง ผมหันไปเห็นมือของศพตกพาดกับขอบประตู นิ้วชี้กดอยู่ที่สวิตช์บังคับกลไกอัตโนมัติในรถ ส่วนนิ้วอื่นพรมเป็นจังหวะเหมือนนักเปียโนที่เชี่ยวชาญ

ผมร้องสุดเสียงขณะรถพุ่งหัวลงไปในแม่น้ำ

ผมตื่นจากความฝันอันน่าสะพรึงกลัวอีกครั้ง เราอยู่ที่ไหนกันนี่? นั่นเป็นคําถามแรกที่ผุดในสมองเมื่อผวาตื่นขึ้น ผมยกเปลือกตาที่ร้อนเหมือนมีเตารีดนาบขึ้นเหลือบมองทิวทัศน์ แต่กลับพบว่ารอบตัวมีแต่ความมืด มืดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เสียงน้ำไหลรอบด้านสร้างความรู้สึกเย็นยะเยือกจับใจ จนเหงื่อกาฬหลั่งโชกตลอดแนวกระดูกสันหลังถึงก้นกบ

เมื่อมือป่ายไปโดนพวงมาลัยตรงหน้า ผมจึงพบว่าแท้ที่จริงกลับเป็นตัวผมเองที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับ

ศพหายไปไหน? หรือว่าไม่เคยมีอะไรในกระโปรงท้าย? มันเป็นเรื่องจริงหรือแค่จินตนาการที่หลอนหลอก?

ผมอยากให้มันเป็นแค่ความฝัน เพื่อจะได้ผวาตื่นขึ้นอีกสักครั้ง แต่ก็รู้ว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ เพราะขณะนี้สมองทุกส่วนกำลังตื่นตัวเต็มที่ ด้วยแรงกระตุ้นจากความเย็นของน้ำลึกที่พุ่งทะลักเข้ามาจากทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว เพียงแค่สูดหายใจสองที น้ำก็เพิ่มระดับจากเอวขึ้นถึงหน้าอกแล้ว

ผมพยายามทุบกระจกด้วยมือที่ไร้เรี่ยวแรง และแหกปากร้องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนน้ำท่วม ถึงปาก…

ขอขอบคุณที่มา หนังสือ ศพท้ายรถ โดย สรจักร ศิริบริรักษ์

error: Content is protected !!