[เปิดกรุผีไทย] บทประพันธ์โดย “ครูเหม เวชกร” เรื่อง…หมอผี

…อีกาตัวหนึ่งบินโผเข้ามาเกาะที่หิ้งพระ คนทั้งบ้านผงะหงายไปตามกัน ดวงตาเหลือกลานด้วยความกลัว…

ตอนนี้เป็นอีกตอนหนึ่งที่ยายของนายทองคำตายแล้ว ญาติผู้หนึ่งศักดิ์เป็นลุง เอานายทองคำไปเลี้ยงชั่วคราว เพื่อจะหาทางส่งเข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ อีก

ญาติห่างๆ ของผมคนหนึ่งมีศักดิ์เป็นลุง เมื่อยายของผมสิ้นบุญไป ผมก็ลอยเคว้ง บิดามารดาก็ไม่มีมาแต่เด็กแล้ว ครั้นมาสิ้นยายก็หมดทางจะเรียนหนังสือได้อีก ก็พอดีญาติห่างๆ มีศักดิ์เป็นลุงผู้นี้ มีอาชีพเป็นหมอยาไทยอยู่ตำบลท่าหลวง รับจะส่งเสียให้ผมเรียนต่อในกรุงเทพฯ แต่ขอว่าให้ไปพักอยู่กับแกก่อนชั่วคราว จนกว่าหาทางและเตรียมเงินเตรียมทอง พอจะส่งเสียการเรียนได้ จึงจะส่งมาพักกับญาติของแกในกรุงเทพฯ และเรียนหนังสือได้

ลุงผมคนนี้เป็นหมอยาไทยชื่อดังในตำบลนั้น เปิดร้านขายยาไทยในบ้านของตัวเองที่ริมแม่น้ำแควป่าสัก นอกจากแกจะเป็นหมอทางยาไทยแล้ว ชาวบ้านแถบนั้นยังเชื่อกันว่า แกเป็นผู้มีวิชาขลังทางเวทมนตร์คาถา ใครผีเข้า แกสามารถเอาออกได้ และยังพูดกันยิ่งกว่านั้นว่า แกอาจจะเอาปอบเข้าท้องใครก็ได้ แต่เรื่องอย่างนี้ผมไม่เอาใจใส่ จึงไม่รู้อะไรไปมากกว่านี้ คอยเวลาแกจะส่งเข้ากรุงเทพฯ เท่านั้น ในระหว่างที่อยู่กับแก ก็มีหน้าที่ถือล่วมยาตามแกไปในเวลาแกจะไปรักษาใครต่อใครในละแวกนั้น

บ้านเรือนของเราตั้งอยู่ทางหลังตลาด และตลาดนี้ชาวบ้านเรียกกันว่า ตลาดบ้านล่าง การตั้งบ้านเรือนของลุง มีคนพูดกันว่าไม่ถูกหลักการค้า ถ้าตั้งร้านอยู่ในตลาดจะดีมาก การค้าเครื่องยาจะเจริญกว่าอยู่เป็นบ้านธรรมดา แต่ลุงผมแกว่า คนดีจริงละก็จะอยู่ที่ใดก็ได้ ต้องมีคนไปหาให้รักษาเอง มาซื้อยาเอง

ความคิดของแกเป็นดังนี้ จึงต้องตั้งห้างขายยานอกทะเบียนอยู่หลังตลาด ในห้างขายยาของลุง เรามีด้วยกันสี่ชีวิตเป็นเจ้าหน้าที่ คือ ๑. ลุง เป็นตัวนายแพทย์ ๒. คือผม เป็นผู้ช่วยแพทย์ทุกๆ หน้าที่ ๓. พี่อ่อน บุตรสาวของลุง เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลกิจการแผนกอาหารและเก็บกวาด ๔. อ้ายดอก มีหน้าที่เฝ้าดูแลเห่าหอนพวกศัตรูและมิใช่ศัตรู ที่จะย่างเหยียบเข้ามาในเขตหวงห้ามในยามค่ำคืน

ตัวบ้านของเราเป็นฝาขัดแตะหลังคามุงด้วยจากตามความนิยมของชนบทนั้น ภายในเต็มไปด้วยเครื่องยาสมุนไพรร้อยแปด ในห้องนอนของลุงเต็มไปด้วยสรรพวัตถุต่างๆ เช่น เครื่องรางทุกชนิด ตะกรุดต่างๆ ขนาด ผ้ายันต์ ผ้าธง แขวนไว้ตามฝาห้อง พื้นห้องมีโต๊ะบูชาทั้งพระและฤาษี ทั้งโต๊ะวางเล่มสมุดข่อย ตำรายา ตำราเสน่ห์ ตำราเรื่องแก้ผีๆ สางๆ เต็มไปหมด แทบว่าจะไม่มีทางเดิน เวลาจะเข้าไปนอนแต่ละที ตัวแกเองจะค่อยๆ สอดเท้าเดิน มิฉะนั้นก็น่ากลัวจะเหยียบอะไรแตกหักหมด

ตัวผมนอนในห้องเครื่องยา มีหิ้งติดฝาทุกด้าน และในหิ้งก็เต็มไปด้วยรากไม้สมุนไพรร้อยแปด แถมกระบุงกระบายใส่อีกวางไว้ตามพื้นห้อง ความรกเรื้อเป็นที่สองของห้องลุง พี่อ่อนนอนห้องถัดไปอีก ห้องแกไม่รกรุงรังดังคนอื่นแม้จะเป็นห้องแคบๆ เรื่องบริเวณของอ้ายดอกไม่ต้องพูดถึงกว้างกว่าใครๆ ในบ้าน คือใต้ถุน จะมีกระบุงตะกร้าอยู่บ้างในที่ยกพื้นก็ไม่มากมายนัก นอกนั้นจะมีที่เหยียดแข้งเหยียดขาได้ทั่วไปในบริเวณรั้วบ้าน

ในคืนเดือนมืดวันหนึ่ง เป็นเวลาที่ตลาดบ้านล่างของตำบลท่าหลวง สงบนิ่งอยู่ในความเงียบสงัด ทุกบ้านทุกช่องดับไฟนอนเงียบหมด ก็เกิดเสียงเจ้าดอกเห่ากระโชกตามหน้าที่ของมันที่ใต้ถุน เสียงของมันดังพอจะปลุกคนตื่นทั้งบ้าน ผมเงี่ยหูฟังนิ่งอยู่ในมุ้ง ในบัดนั้นก็มีเสียงคนตะโกนร้องเรียกลุงแซงเสียงอ้ายดอกขึ้นมา

“พ่อหมอจ๊ะ พ่อหมอ” เสียงนี้ลุงแกก็ได้ยิน จึงร้องขานออกไป

“นั่นใครวะ?”

“ฉันเองจ้ะ พ่อหมอ ทิดก๋อจ้ะ”

“ทิดก๋อเรอะ?”

“จ้ะ ฉันเอง”

“อ้อ”

“ช่วยดูอ้ายดอกให้ฉันด้วยเหอะ”

จะว่าไป อ้ายดอกก็นับว่าสำคัญอยู่ในที่นั้น จะเป็นใครก็ตามที่เคยมาหาลุงในเรื่องรักษาและซื้อยา ต้องรู้จักชื่ออ้ายดอกทั้งนั้น

“มีธุระอะไรเล่าวะ?”

“มีจ้ะ ธุระร้อนจี้เลย”

ผมเป็นผู้ช่วยแพทย์มิได้คอยคำสั่งนายแพทย์ละ รีบลุกไปเปิดประตูเรือนและลงไปเปิดประตูรั้วรับแขกผู้มีนามว่าทิดก๋อขึ้นมาบนบ้าน ทิดก๋อนี้เป็นชายหนวดดก นุ่งผ้าพื้นลอยชาย มีผ้าคาดพุง เสื้อไม่ได้ใส่ตามความนิยมของบ้านนั้น ลุงจุดตะเกียงแล้ว ทิดก๋อนั่งพับเพียบอยู่

“ใครเป็นอะไรไปวะ?” ลุงถาม

“อียิ่งมันผีเข้าจ้ะ” นายหนวดดกตอบเสียงตื่นๆ “แหม! ช่วยกันแก้ไขมาแต่หัวค่ำก็ไม่สำเร็จ”

“เอ…” ลุงผมครางในคอ “ได้ความไหมวะ ว่าผีใคร?”

“พวกลาวข้างบ้านเขามาช่วย ได้ความว่า…” ทิดก๋อหยุดพูดคล้ายเกรงกลัว แววตาวาว ขยับตัวเข้าใกล้ลุงแล้วพูดเบาเกือบกระซิบ

“คือ…มันยังงี้” เขาว่า “นังยิ่งมันถูกของ และของนี่ก็เป็นของของฉัน ที่ไปเอามาเองจากหมอลาวที่ปากเพรียว หมอลาวให้ฉันมา ฉันไม่เคยแก้ห่อผ้าขาวออกดูเลยว่าในห่อมีอะไรบ้าง เป็นแต่เขาบอกว่ากันผีดีนัก ฉันก็เอาไว้บนหิ้งพระ แต่เอ อีตอนนี้มันเล่นงานนังยิ่งเข้าน่ะซี” พูดจบแล้วคงนิ่งมองตาลุงอยู่คอยความเห็น

“ก็ทำไมไม่เอาไปเสียให้พ้นล่ะ” ลุงว่า

“ทำไม่ได้นะซีพ่อหมอ พอหยิบของนั่น นังยิ่งร้องดังใครเอาหอกแทง”

“เออ ชอบกล” ลุงพึมพำ

“ก็เมื่อฉันจะมานี่แหละจ้ะ พวกลาวที่เขามาช่วยเราเขาก็จะเอาของนั่นไป แต่พอเข้าไปหยิบเท่านั้นแหละ อีกาแตกฝูงมาแต่ไหนกลางคืนเช่นนี้ไม่รู้ บินเข้ามาเกาะขอบหิ้งพระ แล้วร้องเสียงลั่นไปหมดเลย” พูดแล้วทิดก๋อลุกขึ้นนั่งยองๆ กอดอกห่อตัวคล้ายจะหนาวสั่น สังเกตว่าตามตัวมีขนลุกเกรียว

“อือ!” ลุงร้องในลำคอ พร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วยในเหตุที่รับฟัง

“ช่วยสักทีเถอะ ฉันไม่เห็นใครแล้ว หมดปัญญาจริงๆ พ่อหมอเอ๋ย”

ลุงยังไม่ตอบว่าจะรับช่วยหรือไม่ช่วย ผมนั้นไม่อยากให้ลุงรับปากเลย เพราะถ้าลุงรับปาก ลุงเป็นนายแพทย์ ผมคือผู้ช่วยแพทย์ก็จะต้องไปอีกในยามค่ำคืนดังนี้ และครั้งนี้หาใช่โรคธรรมดา กลายเป็นผีๆ สางๆ เรื่องผีกระผมช่างเอือมระอาเป็นที่สุด จับไข้หัวโกร๋นมาแล้วบ่อยครั้ง ในครั้งนี้จริงอยู่ที่ไม่ใช่การตายหรือเกี่ยวกับศพแต่อย่างใด แต่ทิดก๋อเล่าให้ฟังนั้นมันน่าเสียวแสยงอยู่อย่างเล็กน้อยหรือ แต่ผมจะทุกข์ใจไปเท่าใดก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะลุงออกปากรับช่วยทิดก๋อเสียแล้ว

“เอา ลองดูสักตั้ง แต่มันแปลกใจอยู่ ฉันก็เพิ่งจะเคยได้ยินเรื่อง” ลุงพูดอย่างแบ่งรับแบ่งสู้

ครั้นแล้วเราทั้งสามก็ออกจากบ้านในยามนั้นเอง พี่อ่อนออกปิดประตูรั้วและเฝ้าบ้านสองคนกับเจ้าดอก คณะแพทย์กับเจ้าของไข้ก็เดินทางฝ่าความมืดไป ลุงหมอเดินคู่ๆ กันไปกับทิดก๋อ ผมหิ้วกระเป๋ายาตามหลัง เริ่มปอดลอยขึ้นเสียแล้ว เพราะคำที่ทิดก๋อเล่าให้ฟังเมื่อครู่ มันยังติดหูอยู่ ซ้ำต้องเดินตามหลังเสียด้วย ถ้าผมโตๆ ขนาดเท่าเขาก็พอค่อยยังชั่ว แต่นี่ผมเด็ก หัวใจไม่แข็งพอจะสมบุกสมบันในเรื่องอย่างนี้ การเดินทางกลางคืนในชนบท เราไม่สมัครใจจะเดินเฉียดบ้านใคร เพราะรบกวนชาวบ้าน หมูหมาจะเห่าเอะอะ จึงลัดออกทุ่งโล่งบ้าง ดงไม้มืดๆ บ้าง บางแห่งราวกับป่า ผมกัดฟันหิ้วกระเป๋าตามไปให้ทัน

เบื้องหน้าเรามีฝนตั้งเค้ามืดครึมอยู่ กระแสลมฝนพัดมาอ่อนๆ แสดงว่าฝนจะเริ่มมาหาเราแล้ว หากแต่ยังอยู่ไกลสักหน่อย เจ้ากบเขียดร้องท้าทายฝนอยู่ขรม ถ้าหากฝนประเดลงมาในเวลานี้จะลำบากในการเดินทางไม่น้อย เราเร่งฝีเท้าอีกพักใหญ่จึงถึงบ้านคนไข้ บนบ้านนั้นมีคนพลุกพล่าน แสงตะเกียงสว่าง พอเราทั้งสามก้าวขึ้นบันไดเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงแหลมๆ ของหญิงตะโกนลงมาก่อน นึกว่าคงจะเป็นเสียงของคนไข้ที่ผีเข้านั่นเอง

“มาอีกคนรึ?” หยุดหัวเราะเสียงแหลม “มาซิวะ มาลองดีกัน”

ทิดก๋อสะกิดให้ลงฟัง และเตือนว่ามันเริ่มจะแผลงฤทธิ์ละ ยังไม่ทันจะเห็นตัวเลย มันยังรู้ว่าหมอมา นับเป็นขั้นแรกที่มันจะเริ่มเล่นงานเรา แต่ลุงเฉยๆ ไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร คงก้าวขึ้นบันไดเป็นปรกติ จนได้เข้าไปนั่งในห้องของคนไข้อย่างเรียบร้อย ลุงได้หันไปพินิจพิเคราะห์ร่างของหญิงสาวที่นอนเหยียดยาวอยู่บนที่นอนเก่าๆ แม่คนไข้สาวก็จ้องมองดูเช่นกัน ซ้ำหัวเราะเสียงแหลมใส่หน้า ผมกลัวนัยน์ตาวาวๆ ของแก จึงหลบนั่งบังหลังทิดก๋อ

“เออ! หัวเราะไปเถอะ เดี๋ยวเถอะวะจะได้เห็นดีกัน” ลุงพูดอย่างคำราม แล้วหันบอกทิดก๋อให้เตรียมเครื่องจะทำน้ำมนต์ คือดอกไม้ธูปเทียนและเงินหกสลึง ทิดก๋อนำมาให้เรียบร้อยทั้งขันน้ำ

อ่านต่อ – หมอผี ตอนที่ ๒ (จบ)

error: Content is protected !!