[เปิดกรุผีไทย] บทประพันธ์โดย “ครูเหม เวชกร” เรื่อง…หมอผี (ตอนที่ ๒)
ความเดิมก่อนหน้า – หมอผี ตอนที่ ๑
การทำน้ำมนต์ได้กินเวลาพักใหญ่ๆ แล้วลุงถามว่า ของที่ทิดก๋อว่านั้นอยู่ที่ใด ทิดก๋อชี้ให้ดูว่าอยู่บนหิ้งพระ ทุกคนในบ้านต่างแหงนหน้ามองตามด้วยกันหมด ครั้นแล้วลุงลุกขึ้นยืนและจะไปหยิบของสิ่งนั้น แต่จะด้วยบังเอิญหรืออะไรก็ยากจะพูด พอมือลุงจะถึงของสิ่งนั้นฟ้าคำรามครืนใหญ่ เรือนไหวสะเทือนดังกร๊อบ ทุกคนในบ้านสะดุ้งจนตัวลอย นางสาวเจ้าไข้ร้องกรี๊ดและดิ้นอาละวาดใหญ่ ลุงร้องให้ช่วยกันจับไว้ให้แน่น แกหยิบห่อนั้นมาโดยไม่ฟังเสียง คนไข้ยิ่งดิ้นหนักเข้า ซ้ำร้องด่าลุงขรมถมเถ ลุงทิ้งห่อนั้นลงบนพื้น แล้วเอาเท้าเหยียบไว้ เสกเป่ากำกับ
“มึงไปกับกู!” ลุงคำรามอย่างโกรธที่ถูกด่าใส่หน้า
“กูไม่ไป!”
“ไม่ไปมึงก็ตาย”
ทันใดนั้นเอง เสียงดังพึ่บๆ ของปีกนกดังขึ้นทางช่องหน้าต่าง และแล้วชั่วพริบตานั้น เจ้าของเสียงก็ปรากฏตัวเข้ามา เป็นอีกาตัวหนึ่งบินโผเข้ามาเกาะที่ทิ้งพระ คนทั้งบ้านผงะหงายไปตามกัน ดวงตาเหลือกลานด้วยความกลัว ลุงเห็นดังนั้นจึงแก้เชือกคาดเอวของอาจารย์ที่คาดติดมาออกหวดเจ้าการ้ายตัวนั้น เหตุการณ์ได้เกิดปั่นป่วนที่สุด การ้ายถลาโฉบจะตีใครต่อใคร ต่างหลบกันวุ่น ลุงได้หวดถูกเจ้ากานั้นทีหนึ่ง มันร้องเสียงผิดกาธรรมดา แล้วบินหนีออกหน้าต่างไป
ลุงหันมาเอาน้ำมนต์อมพ่นคนไข้เข้าสองสามพรวด แล้วเปิดล่วมยาหยิบยาอะไรไม่ทราบให้ทิดก๋อ สั่งว่าให้กินตามกำหนด แล้วผลุนผลันฉวยห่อผ้าขาวมหาเวรนั้นมาถือไว้ บอกลาเจ้าของบ้านอย่างด่วนๆ
“ไปโว้ยอ้ายคำ!”
กว่าผมจะปิดล่วมยาเรียบร้อย ความรีบร้อนของลุงได้ก้าวลงบันไดเรือนแล้ว ผมรีบเผ่นตามดังลมพัด เพราะแกได้เดินไปห่างมากมาย มาทันกันที่รั้วบ้าน แล้วต่อไปแกก็เดินอย่างเร็วตามนิสัย อนิจจาเอ๋ย ผมต้องเดินกลางทุ่งมืดกับลุงแต่เพียงสอง และก็เดินหลังด้วย แกเดินเร็วอย่างไม่ห่วง ผมต้องวิ่งตามอยู่บ่อยๆ ความหวาดกลัวข้างหลังได้มาประดังหัวใจ ถ้าอ้ายการ้ายมันตามมา หรือใครที่ไม่ใช่กา แต่ว่ามันพวกเดียวกัน มันเดินอยู่ข้างหลังผม ผมตายเลย
ความกลัวเกิดขึ้นทั้งหน้าทั้งหลัง ที่มือลุงคืออ้ายห่อผ้าขาวนั้น และข้างหลังจะมีอะไรอีก? ผมเร่งฝีเท้าเร็วจี้ แต่ไม่ค่อยทันลุง คล้ายขาจะหมดแรง การเดินเหลียวหน้าการเดินไปเหลียวไปทำให้ช้าลงอีก แต่ไม่เหลียวนั้นไม่ได้ อากาศมืดมิด เพราะเมฆฝนดำมะเมื่อมอยู่บนศีรษะเรา ฟ้าคำรามฮึ่มๆ ซ้ำร้ายนานๆ แลบปลาบส่องแสงสว่างให้เห็นอะไรต่ออะไรชั่วแวบ
ในขณะที่ใจกำลังฝ่อ ฟ้าแลบที่แทบจะเห็นอะไรที่ไม่อยากจะเห็น เสียงคึ่กๆ อู้ๆ ของพายุฝนตามหลังมา เสียงต้นไม้ชายทุ่งดังซู่ซ่าเกรียวกราว วัวควายบ้านนาร้องไกลๆ ประดุจจะเกิดภัย ผมใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตะโกนเรียกลุงเสียงกระเส่า ขอให้แกคอยด้วย แต่แกกลับตอบว่า ก็ตามมาซีวะ เป็นคำตอบที่ไม่ให้ความอบอุ่นแต่นิดเดียว
ผมวิ่งตาม เจ้ากระเป๋ายานั้นหิ้วไกลๆ ชักจะหนัก ชีวิตเด็กๆ อย่างผม ใครเขาจะโดนอย่างผมบ้าง ผมร้องไห้และวิ่งตามมาอย่างไม่ลดละ จนเข้าเขตบ้าน ฝนก็หยาดเม็ดลงมาพอดี อ้ายดอกตาฝาด โดดเข้าจะเล่นงานเรา กำลังปอดอยู่ๆ มันโดดเข้าใส่ เพราะเราเปิดประตูรั้วเอง พอรู้ว่าใครเป็นใครมันก็ร้องอึ๊ดๆ พอเข้าพ้นประตูเรือน สายฝนก็กระหน่ำ เจ้าดอกวิ่งเข้าใต้ถุน
ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก แทบว่าแผ่นดินจะท่วมเป็นทะเล ลุงและพี่อ่อนคงหลับแล้ว ผมยังหลับไม่ลง คงนอนกระสับกระส่ายอยู่ในโปง ใจคอจดจ่ออยู่ที่อ้ายห่อผ้าขาวที่ลุงเอามันเข้าไว้ในห้อง ดินฟ้าอากาศก็ช่างกระไรเลย สะท้านสะเทือนราวกับกินเลือดกินเนื้อ เปรี้ยงลงมาคราวไร ผมเสียวปล๊าบเข้าหัวใจทุกครั้ง นอนเงี่ยหูฟังว่าจะมีเสียงอะไรผิดแปลกขึ้นบ้างในห้อง แต่ก็เงียบดี
ในราวชั่วโมงกว่าๆ ฝนจึงขาดเม็ด เหล่าเขียดปาดคางคกส่งเสียงลั่น นอนคำนวณอยู่ว่าพื้นดินคงนองไปด้วยน้ำ เจ้ากบเขียดจึงลอยคอร้องกันอย่างสำราญบานใจ เว้นแต่อีกชีวิตหนึ่งที่น่าเวทนายิ่งนัก ชีวิตนั้นคืออ้ายดอก มันอยู่ใต้ถุน มันคงหาความสุขยากเต็มที บัดนี้คงกำลังขดตัวอยู่บนลังไม้ฉำฉา อากาศก็หนาวเย็น เพียงขนเกรียนๆ ของมันคงจะไม่เพียงพอจะป้องกันความหนาวได้
จะเป็นเวลาช้านานสักเท่าใดไม่ทราบ รู้สึกตัวว่าจะเคลิ้มๆ ไป เกิดมีเสียงหนึ่งขึ้น เป็นเสียงใครเรียกลุงอย่างแหบเครือ เสียงนั้นอยู่ด้านนอกชานนอกตัวเรือนออกไป เสียงนั้นไม่ดังมากมายนัก แต่ก็เป็นเสียงที่ฟังได้ชัดเจน ใครกันเล่า ดึกจนป่านนี้แล้วมาเรียกกัน และอ้ายดอกไม่เห่าทั้งปล่อยใครขึ้นมาถึงบนนอกชานได้
“พ่อหมอ…พ่อหมอ”
ผมใจหาย ไม่ขานแทนลุงอย่างที่เคยทำมา รู้สึกคร้านที่จะไปเปิดประตู ดึกจนเท่าไรๆ แล้ว ยังมาตามหมอ และถ้าลุงไปอ้ายเวรถือล่วมยาก็ผมอีก
“พ่อหมอ…พ่อหมอช่วยฉันด้วย”
เสียงนั้นเป็นชายและเรียกกระชั้นเข้า เอ! ใครหว่า จึงรอดปากอ้ายดอกขึ้นมาจนถึงข้างบนได้ เป็นไรเป็นกันวะ ทำไม่ได้ยินละ ลุงได้ยินก็ไปเปิดประตูเองเถอะ เอ๊ะ! รึว่า… ความคิดหนึ่งเกิดขึ้น ใครล่ะจะรอดตาอ้ายดอกขึ้นมาได้เล่า มันต้องเป็น… นึกได้เท่านี้หนาวสะท้านเลย ผมขดตัวอยู่ในโปงนิ่งเงียบ
“พ่อหมอ” เสียงนั้นคงเรียกอีก คราวนี้แหบแห้งลงกว่าเดิม แต่ทันใดนั้นเองอ้ายดอกก็หอนขึ้น ผมแทบจะเผ่นเข้าห้องพี่อ่อน แต่ไม่กล้าลุกขึ้นแม้แต่กระดิกตัว เกรงว่าเสียงขยับกายจะดังไปถึงหูผู้ที่เรียกอยู่ข้างนอก รู้สึกเสียใจตนเองที่มีกรรมโดนร้ายอย่างนี้แต่เดียวดาย ต้องนอนคนเดียวทั้งๆ ที่กลัว พี่อ่อนคงนอนหลับอย่างสบาย เพราะแกไม่รู้เรื่องอะไร และก็ไม่รู้อีกว่าลุงเอาอะไรมาไว้ในเรือน
“เอ๊ะ!” ประสาทผมเป็นอะไรไปแล้ว ผมเป็นอะไรไปนี่ รู้สึกว่ามีลมพัดแรงเข้ามาถูกมุ้ง และดันมุ้งตุงเข้ามาทาบกับผ้าห่มที่ผมนอนคลุมโปงอยู่ ลมจริงๆ เย็นกระทบร่างกาย แต่เจ้าลมที่พัดมานี้ มันต้องพัดมาทางประตู ทางอื่นไม่มีจะพัดมาได้เลย และประตูผมก็ปิดขัดดาลแน่นแล้วด้วยมือเอง มันจะเปิดได้อย่างไร แม้จะมีลมแรงก็เปิดไม่ได้ ผมมีความกลัวแสนกลัว แต่ความห่วงประตูประดังขึ้นมาอีก ถ้ามันเปิดได้จริง ผมก็มีหน้าที่จะต้องลุกไปปิดเอง
กรรมอีกแล้ว กรรมอะไรเช่นนี้ จะเรียกลุงและบอกเรื่องประตู แกก็จะดุเอาและหาว่าลืมปิด ลงท้ายก็ต้องไปปิดเองอยู่นั่นเอง แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม ใครเล่าจะไปปิดได้ที่กำลังมีเหตุการณ์ดังนี้ มีเสียงใครเรียกอยู่ข้างนอก ความห่วงในหน้าที่โดยได้รับมอบหมาย กระทำให้ต้องแข็งใจเปิดโปงแต่เพียงแค่หน้า สิ่งที่ปะทะลูกตา สิ่งแรกก็คือ มุ้งของผมถูกลมพัดตลบเปิดโล่ง และสิ่งที่สองก็คือ ประตูเรือนเปิดจริงๆ ดังที่คิดไว้ จากสายตาที่มองจากความมืดออกไป ประตูนั่นโล่ง เห็นอากาศข้างนอกขาวสลัว
โอยเจ้าประคุณ! ทำไมเป็นดังนั้นเล่า? ผมไม่ลืมหน้าที่ ผมปิดแล้ว ปิดจริงๆ กับมือตนและจำได้ไม่ผิด จะอย่างไรก็ตามทีเถิด จะถูกเฆี่ยนถูกตีก็ยอม ต้องร้องเรียกลุงให้ตื่น ผมรับใช้มาก็หลายเดือนไม่เคยผิดอย่างนี้เลย เสียงนั้นยังคงเรียกอยู่ไม่ขาด ทั้งกลัวลุงและกลัวเสียงนั้น ผมร้องไห้ออกมาดังๆ
“ลุงจ๋า!” ผมตะโกนเสียงลั่นให้ถึงที่สุด แต่รู้สึกว่าแหบเครือที่สุด พอเสียงผมตะโกนเรียกลุงดังออกไป พอขาดเสียง ก็มีเสียงแซงขึ้นมาที่นอกชานทางประตู อ้อ! ผมสะดุ้งตัวลอย เพ่งตาดูไปตามเสียง ภาพหนึ่งที่ปรากฏกับตาเป็นภาพเหลือที่จะทนทานได้
“ลุงจ๋า!” ผมแผดเสียงเต็มที่ เลือดในกายแทบหยุดเดิน ขนหัวลุกซ่าไปทั้งตัว ภาพของใครคนหนึ่งนั่งยองๆ ที่นอกชาน ร่างกายใหญ่โตกว่าคนธรรมดา มันกำลังมองผมและดูว่าจะขยับกายลูกเดินมายังผม ผมเลยหมดสติลงในบัดนั้น
เหตุการณ์ต่อไป ผมไม่รู้อะไร มารู้สึกตัวตอนหนึ่ง แสงแดดจ้า ผมนอนอยู่พี่อ่อนนั่งอยู่ใกล้ๆ ผมถามหาลุง ได้รับคำตอบว่าไปธุระ พี่อ่อนเล่าว่า แกกำลังหลับได้ยินผมร้องสุดเสียง แกเกิดกลัวก็นอนตัวแข็ง จนลุงตะโกนเรียกและจุดไฟก็เห็นลุงกำลังประคองผมอยู่ พี่อ่อนไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ลุงก็ไม่พูดอะไร หายาแก้ไขผมอยู่จนรุ่งสว่าง พอเช้าแกก็รีบเอาห่อผ้าขาวที่หิ้งพระถือออกจากบ้านไป ปล่อยให้การพยาบาลผมไว้กับพี่อ่อน ผมฟังพี่อ่อนเล่าเรื่อง แต่อ่อนเพลีย ใจคอก็ยังไม่ดี จึงไม่ได้เล่าเรื่องตอนกลางคืนที่พบเห็นให้แกฟัง ปล่อยเป็นความลับไปเลย จนกว่าใจจะแข็งพอ จึงจะเล่าให้พี่อ่อนและลุงฟังได้
เหม เวชกร