“พัดลมเพดาน” สยองห้องเช่าหน้าโรงบาล ย่านฝั่งธนฯ
เมื่อหลายปีก่อนเราพักอยู่ห้องเช่ากับเพื่อนผู้หญิงที่หน้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่งย่านฝั่งธนฯ ตอนที่ย้ายเข้าไปใหม่ ๆ เจ้านายซึ่งเป็นคนเลือกห้องให้ เขาอำเล่นโดยการคุยกับเพื่อนเขาให้เราได้ยินว่า
“เฮ้ย ไอ้นักร้องคนนั้นที่มันตายในห้อง มันผูกคอตายหรือกินยาตายวะ”
พอได้ยินแบบนั้นเราเลยพูดแทรกเจ้านายว่า
“แหม…อย่าอำเสียให้ยากเลยเฮีย หนูไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก”
และเมื่อเราย้ายของเข้าไป ตอนนั้นงงมากว่าทำไมห้องนี้มันร้างมานานหรือยังไงกัน เพราะฝุ่นที่พื้นเยอะมาก และที่สำคัญวงกบประตูห้องน้ำซึ่งเป็นไม้มีปลวกขึ้นจนมีขุยดิน ถ้าห้องนี้ไม่ได้ถูกทิ้งร้างมานานจริง ปลวกก็คงไม่เสนอหน้าออกมาอย่างนี้
แต่ก็แค่สงสัยเท่านั้นค่ะเพราะว่าตึกเช่าแถบนี้ก็ไม่ได้ดูเก่าแต่อย่างใด และเจ้าของเองเขาก็บอกว่าห้องมักจะมีคนเช่าเต็มอยู่ตลอด แต่ลึก ๆ แล้วก็ยังแอบคาใจที่ทำไมห้องนี้มันเหมือนร้างมานานขนาดนี้
วันแรกที่ย้ายของเข้าไปเราก็ทำความสะอาดกันยกใหญ่ เราถูพี้นด้วยมือตัวเอง นั่งคุกเข่าถู ๆ ไปเรื่อย ๆ จนวนไปถึงประตูห้อง เราก็เลยถือโอกาสเช็ดประตูไปด้วย โดยเริ่มเช็ดจากล่างขึ้นบน จนไปเจอเข้ากับบางสิ่ง
‘เอ…แป้งอะไรหว่าติดตรงประตู’
เราก็ไม่ทันได้คิดอะไร ยังคงถูสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ตอนนี้ชักเริ่มแปลกใจว่ามันเป็นคราบแป้งอะไร เลยยืนและถอยหลังออกมาดูระยะห่างพอสมควร
‘อ้าว…นี่มันยันต์นี่หว่า!’
แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่เพียงว่าคงจะมียันต์ที่ประตูทุกห้องล่ะมั้ง เพราะตอนเราย้ายเข้ามาก็ไม่ทันได้สังเกต
คืนแรกที่ย้ายเข้าไป ตกกลางดึก เพื่อนบอกว่า
“ตัวเอง…ขอเปิดไฟนอนได้มั้ย”
“แล้วปกติเธอเปิดไฟนอนเหรอ”
“เปล่าหรอก”
“อ้าว แล้วจะเปิดไฟทำไม กลัวเราเหรอ…ผีน่ากลัวกว่าเราอีกนะ”
พอได้ยินแบบนั้น เพื่อนรีบเอามือปิดปากเรา แล้วบอกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเล่าอะไรให้ฟัง
พอรุ่งเช้า ต่างคนต่างก็รีบออกไปทำงานก็เลยไม่ได้คุยกัน จนตอนเย็นเพื่อนมาบอกว่า วันนี้จะไปค้างกับเพื่อนที่หน้ารามฯ นะ อ้าว…นอกจากจะไม่เล่าเรื่องเมื่อคืนแล้วยังทิ้งเราอีก แต่ก็ช่างเถอะ เราก็กลับห้องพักคนเดียว นอนคนเดียวก็ไม่เห็นมีอะไร
แต่พอเวลาผ่านไป เพื่อนที่อยู่ด้วยกันเธอชอบทำท่าทีแปลก ๆ เขาชอบถามว่าเคยเจออะไรมั้ย แต่ก็ไม่ยอมเล่าว่าเจ้าหล่อนเคยเจออะไรมา เจ้าหล่อนมักจะไม่ยอมนอนค้างกับเราในคืนวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ โดยให้เหตุผลว่าต้องไปนอนกับเพื่อนที่หน้ารามฯ
จนมีอยู่คืนหนึ่ง ขณะที่ล้มตัวลงนอนแต่ยังไม่หลับ เราก็คิดนั่นคิดนี่มองนั่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อยในความมืด จนสายตาเริ่มชินกับความมืดจึงเห็นสิ่งของได้บ้างแต่ไม่ชัดเจนนัก
เรามองไปเรื่อยเปื่อยจนไปหยุดอยู่ที่พัดลมติดเพดาน เราก็สงสัยว่า เอ…ทำไมพัดลมมันห้อยลงมานิดนึงนะ คือทำท่าจะหลุดจนเห็นสายไฟของตัวพัดลมซึ่งร้อยติดอยู่กับเพดาน มันน่าจะต้องถูกดึงรั้งจากอะไรสักอย่างที่หนักเอาการ มันถึงห้อยลงมาแบบนี้
เรานอนหงายลืมตาอยู่แต่ทุกอย่างมืดสนิท และในความมืดนั้นยังมีมืดยิ่งกว่าอีก จนทำให้เรารับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ และภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือ เป็นผู้หญิง ร่างนั้นนอนลอยอยู่เหนือเราจนหน้าแทบจะชนกับจมูกเราอยู่แล้ว
เวลานี้เราเริ่มกลัว นอนตัวแข็งทื่อจนไม่กล้ากระดิกไปไหน ถามตัวเองว่า นี่ใช่ผีหลอกอย่างที่คนอื่นเขาพูดกันหรือเปล่า! ถ้าไม่ใช่แล้วเป็นอะไรล่ะ?!!
ตอนนั้นเราตั้งสติ แล้วพยายามคิดว่าคงเป็นเงาของอะไรสักอย่าง แต่ทำไมเรากลับรู้สึกว่า เงามืดนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและโกรธแค้นอะไรสักอย่าง เราเลยนึกในใจว่า
‘ถ้าสิ่งนี้เป็นวิญญาณจริง เรากับคุณไม่เคยรู้จักกัน และเราเองไม่เคยไปทำร้ายคุณ คงไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะมาทำร้ายเรา ถ้าต้องการให้เราช่วยเหลืออะไรก็มาดี ๆ มาทางความฝัน เผื่อเราจะได้คุยกันได้ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงเราจะช่วย’
พอเราคิดแบบนั้น เงานั้นจึงค่อย ๆ จางหายไป จนภาพตรงหน้ามองเห็นเป็นพัดลมเพดานเหมือนเดิม พอหลุดจากตรงนั้นมาได้ เรารีบโดดไปเปิดสวิตช์ไฟ เออ…อย่างนี้นี่เอง เพื่อนมันถึงขอให้เราเปิดไฟนอน
เราอยู่ห้องนั้นต่อไปคนเดียวโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรอีกเลย ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้ไปทำบุญให้เธอผู้นั้น จนเราเองคิดไปว่าเหตุการณ์ที่เราเจอคงเป็นเรื่องของการนอนทับเส้นประสาทหรืออะไรสักอย่าง มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของวิญญาณ
จนเวลาผ่านไปหลายปี เราย้ายห้องพักไปอยู่ที่ใหม่ และมีอยู่วันหนึ่งขณะนั่งเล่นอยู่ที่ศาลา ก็มีผู้เช่าห้องหลาย ๆ คนมานั่งคุยกัน คุยกันหลายเรื่องจนถึงผู้หญิงคนหนึ่งเธอเล่าว่า เพื่อนของเธอเป็นนักร้องและมีผู้ชายมาติดพัน ขอเลี้ยงดูเป็นเมียลับ ๆ
จนกระทั่งนักร้องคนนั้นท้องได้สองเดือน พอผู้ชายรู้เข้าก็หายหน้าไปเลย นักร้องคนนั้นจึงโทรไปตามและขู่ว่าถ้าไม่มาภายในคืนนี้จะผูกคอตาย เมื่อเธอรอจนเห็นว่าผู้ชายไม่มา นักร้องคนนั้นจึงได้ผูกคอตายจริง ๆ จนเวลาผ่านไปสามวัน คนข้างห้องได้กลิ่นเหม็นเน่า และทุกคนก็พบศพของเธอห้อยอยู่กับพัดลมติดเพดาน
เราถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อก! ถามเขาว่า นักร้องคนนั้นอยู่อพาร์ทเม้นท์ชื่ออะไร ผู้หญิงคนนั้นก็บอกชื่อ เราเลยถามต่อว่า ใช่ห้อง 503 หรือเปล่า เธอถามเรากลับว่ารู้เบอร์ห้องได้อย่างไร เราตอบว่า
“เราพึ่งย้ายออกมาจากห้องนั้นค่ะ!”
คำตอบของเราเรียกเสียงฮืออยู่ไม่น้อย และนับตั้งแต่วันนั้นมา เราเลยกลายเป็นคนที่มีความเชื่อเรื่องภูติผีไปโดยปริยาย หมั่นทำบุญทำทาน เพราะรู้แน่แล้วว่าผู้หญิงที่เจอในคืนนั้นเธอเคยมีตัวตนอยู่จริง ๆ และคงต้องการความช่วยเหลือ ขอให้วิญญาณเขาหลุดพ้นจากบ่วงกรรมที่พรากชีวิตตนเองและลูกในท้อง ไม่ว่าการกระทำนั้นจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม