ผี..ในห้องพักที่ “แม่สาย” | เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวดิฉันเองค่ะ อาจจะเหมือนอ่านบันทึกการเดินทางนิดนึงนะคะ ดิฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจกับทัวร์นี้จริง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อน ๆ ของคุณแม่ ที่ค่อนข้างมีอายุแล้วทั้งนั้น (ทัวร์คนแก่ว่างั้นเถอะ)
คือแต่ละที่ที่เราไป ขอบอกเลยว่าไม่ธรรมดา บางที่รถตู้เข้าไม่ถึง ต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อตะกายขึ้นไปยังที่พักบนภูเขาเพื่อไปดูทะเลหมอกก็มี บอกเลยว่าทรหดสุด ๆ
คณะทัวร์ของเราก็ไปพักตามที่ต่าง ๆ ซึ่งก่อนนอนทุกครั้งคุณแฟนกับคุณแม่ของดิฉันอีกนั่นแหละ จะต้องสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนทุกคืน เพื่อขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จะมีก็แต่คนขี้เกียจแบบดิฉัน กราบหมอนเสร็จก็กลิ้งตัวลงนอนซะอย่างนั้นแหละ บอกสั้น ๆ แค่ว่าขอให้ฝันดีแล้วก็หลับสนิท
ซึ่งปกติก็ทำแบบนี้ทุกที่ จนมาถึงที่แม่สายในคืนสุดท้าย…
เรามาพักที่แม่สาย เพื่อว่าพรุ่งนี้เช้าจะข้ามด่านไปประเทศพม่ากันทั้งคณะ ซึ่งที่ที่เราไปพักนี้เป็นคอนโดฯ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวมาพักค้างคืนได้ค่ะ หลังจากที่หัวหน้าทัวร์แจกจ่ายคีย์การ์ดและแบ่งห้องให้กับทุก ๆ คนเสร็จเรียบร้อย ต่างคนก็ต่างแยกกันขึ้นห้องพักตามปกติ
ดิฉันกับคุณแฟนและคุณแม่พักห้องเดียวกันสามคนค่ะ พอเราเปิดประตูเข้าไปเท่านั้นแหละ ความรู้สึกแปลก ๆ ก็เกิดขึ้น มันแปลก ๆ แบบบอกไม่ถูก และไม่ใช่ว่าดิฉันจะรู้สึกคนเดียวนะคะ ทุกคนรู้สึกเหมือนกันว่าห้องนี้มันมีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่ทุกคนก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ได้แต่มองหน้ากันแล้วทำตาปริบ ๆ แบบเราเข้าใจกัน
คือปกติดิฉันจะนอนเตียงเดียวกับคุณแม่ ส่วนคุณแฟนจะนอนอีกเตียงนึง แต่คราวนี้ทุกคนลงความเห็นว่า เราน่าจะเลื่อนเตียงมาชิดกันดีกว่ามั้ย
จากนั้นเราลงไปกินข้าวเย็นกัน แล้วก็เอ้อระเหยเดินซื้อของอยู่แถว ๆ นั้นจนประมาณสามทุ่มกว่าเห็นจะได้ เพราะทุกคนคิดเหมือนกันว่าไม่อยากกลับไปนอนในห้อง แต่จะทำยังไงได้ เพราะจะขอแลกห้องกับคนอื่นก็กลัวเขาหาว่าเรื่องมาก ยิ่งถ้าบอกว่ากลัวผียิ่งแล้วใหญ่ คงจะไม่มีใครยอมแลกห้องกับเราแน่ ๆ
เริ่มด้วยเหตุการณ์แปลก ๆ ตอนพวกเรากลับมาถึงห้องที่จู่ ๆ ก็มีเสียงคนมาเคาะประตู
‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’
คุณแฟนก็เข้าใจว่าเป็นพวกป้า ๆ ในคณะทัวร์มาเคาะ ก็เลยจะรีบจะไปเปิดประตู แต่คุณแม่ห้ามเอาไว้และบอกให้ดูที่ตาแมวก่อนว่าใครมา ปรากฏว่าไม่มีใครที่ด้านนอก ซึ่งก็เป็นแบบนี้ประมาณสามครั้ง ทุกคนจึงสรุปเอาเองว่าคงจะเป็น “เสียงลม” (เหอะๆๆ)…
จนในที่สุดทุกคนก็เข้านอนโดยที่มีดิฉันนอนอยู่ระหว่างกลาง และเปิดโทรทัศน์ในห้องทิ้งไว้ด้วยความเชื่อที่ว่า คลื่นโทรทัศน์จะรบกวนคลื่นวิญญาณทำให้วิญญาณปรากฏตัวได้ยาก ซึ่งแน่นอนค่ะว่าคืนนี้ดิฉันไม่พลาดที่จะสวดมนต์แบบจัดเต็ม คือมีทั้งอิติปิโสฯ พร้อมกับแผ่เมตตาแถมให้ด้วย
พอหลับไปได้สักพัก แต่แล้วจู่ ๆ ดิฉันก็รู้สึกเหมือนกับครึ่งหลับครึ่งตื่น ก็มีผู้หญิงผมยาวแต่รวบไว้ด้านหลังเป็นหางม้า ผิวขาว หน้าตาเหมือนหญิงสาวชาวเหนือทั่ว ๆ ไป เธอค่อย ๆ ขยับมานั่งอยู่ที่ปลายเตียงพร้อมกับอ้าปากเหมือนพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง
เห็นแบบนั้นดิฉันก็สะดุ้งตื่น พอรู้สึกตัวขึ้นมา อ้าว! คุณแม่ก็นอนลืมตามองมาทางดิฉันเหมือนกัน ต่างคนต่างงง ๆ ว่าลืมตามาดูกันทำไม (แต่เหมือนจะรู้กันยังไงก็ไม่รู้) ดิฉันเลยพูดเปลี่ยนเรื่องไปว่า “กี่โมงแล้วเนี่ย” ตาก็เหลือบไปดูเวลา โอ้..ตีสาม! รู้สึกว่าโชคดีที่เปิดทีวีกับไฟทิ้งไว้ สักพักคุณแม่ก็บอกว่า “นอนกันเถอะ”
พออีกสักประเดี๋ยวคุณแฟนก็ตื่นเหมือนกันแล้วก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นเราสามคนก็มองหน้ากัน (อีกแล้ว) และทั้งหมดก็ตัดสินใจนอนต่อจนถึงเช้าโดยไม่พูดอะไรกันอีก
ตอนเช้าเราก็ออกไปทานข้าวที่ตลาด โดยต่างคนต่างเล่าถึงเรื่องเมื่อคืนนี้และมั่นใจว่า ของจริงแน่นอน!
เริ่มจากคุณแฟน ซึ่งปกติเป็นคนไม่กลัวผีอยู่แล้ว คุณแฟนเล่าว่า เมื่อคืนเขาเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น แล้วก็เห็นผู้ชายจ้องมองเข้ามาจากทางหน้าต่าง จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็ลอยผ่านไปยังห้องข้าง ๆ ซึ่งจะบอกว่าข้างนอกไม่มีระเบียงค่ะ! แต่คุณแฟนก็คิดว่า คงเป็นเพราะกังวลมากไปเลยทำให้เก็บเอาไปฝัน
ส่วนคุณแม่อันนี้เห็นจะ ๆ คุณแม่เห็นเป็นเงาผู้ชายดำทะมึน ตัวสูงเกือบเท่าเพดาน ยืนอยู่ติดกับตู้เสื้อผ้าแล้วจ้องมองมา คุณแม่ก็เริ่มสวดมนต์แต่เขาก็ยังไม่ไปไหน จนกระทั่งดิฉันตื่นขึ้นมานั่นแหละค่ะ คุณแม่บอกว่าเขาถึงได้ค่อย ๆ จางหายไป
จากนั้นพอกินข้าวเช้าเสร็จ เราก็เอาคีย์การ์ดไปคืนที่เคาน์เตอร์พนักงานต้อนรับของทางคอนโดฯ แล้วพยายามจะหลอกถามเขาว่า
“ห้องที่เราพักมีผีหรือเปล่า?” (คือถามไปตรง ๆ เขาก็คงจะบอกหรอกนะ)
“ไม่มี๊ไม่มี! ว่าแต่…คุณเจออะไรมาเหรอครับ?” แต่น้ำเสียงกับท่าทางของคนพูดนั้นมันบ่งบอกว่าต้องมีอะไรแปลก ๆ ที่นี่สักอย่าง
“เจอผีค่ะ!”
ดิฉันบอกเขาไปแบบนั้น แล้วเราก็ออกจากที่นั่นโดยทิ้งให้เขาหวาดผวาเล่นแก้เซ็ง
สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นใคร หรือห้องนั้นมีอะไรผิดแปลกไปจากห้องอื่น ๆ หรือเปล่า แต่การที่เราทั้งสามคนเจออะไรอย่างนี้ในช่วงเวลาเดียวกัน ดิฉันว่าคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน แล้วอีกอย่างดิฉันเองก็ไม่อยากจดจำเท่าไรว่าไปเจออะไรในห้องนั้นมา แต่พวกเราก็ไม่ลืมที่จะบอกในใจว่า
“ไม่ต้องตามมานะ”
เพราะกลัวเขาจะติดตามมาด้วยนั่นเอง…
ขอบคุณที่มา: วิญญาณ…ในห้องพักที่ “แม่สาย”