ยากเกินจะทำใจ | เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับพี่สาวของดิฉันเอง พี่หน่อยมีลูกสาวฝาแฝดอายุสิบสองปีชื่อไหมกับแพร สวยน่ารักมากและเหมือนกันเปี๊ยบ ขนาดพี่เชนพ่อของเด็กแท้ๆ และญาติมิตรหลายคนยังจำผิดจำถูกกันอย่างสนุกสนาน
มีอยู่หลายครั้งที่ถูกหลานหลอกว่าตัวเองเป็นอีกคนหนึ่ง พวกแกจะหัวเราะขำกลิ้งเมื่อเห็นเราสับสนและหลงเชื่อแกจริงๆ พี่หน่อยเป็นคนเดียวในโลกที่แยกออกทันทีที่เห็นใครเป็นใคร แต่บางทีก็เล่นเอางงไปเหมือนกัน
พี่สาวกระซิบความลับกับดิฉันว่าแพรน่ะคือคนที่มีขี้แมลงวันเม็ดนิดๆ ที่ติ่งหูข้างซ้าย วันไหนถักเปียจะดูง่าย แต่ต้องเพ่งเอานะคะ แต่ถ้าวันไหนเด็กๆ ปล่อยผมยาวสยายก็จะดูยากหน่อย ดิฉันรักหลานฝาแฝดคู่นี้มาก พวกแกเป็นเด็กนิสัยดี และเรามักจะหากิจกรรมสนุกๆ ทำด้วยกันเสมอ
แต่ความสุขก็มักจะอยู่กับเราได้ไม่นานอย่างที่เขาว่าจริงๆ
วันหนึ่งเด็กๆ ล้มป่วยลงทั้งคู่ คุณหมอบอกเพียงแค่ว่าติดเชื้อไวรัส พวกแกไข้สูง ปวดศีรษะมาก ต้องนอนโรงพยาบาลอยู่นานกว่าสัปดาห์ ตอนแรกพวกเราคิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวก็หายเอง ก็ไม่ได้กังวลอะไรกันมากนัก แต่แล้วขณะที่น้องไหมอาการค่อยๆ ดีขึ้น น้องแพรกลับมีอาการทรุดลงทุกทีๆ
และในที่สุด เธอก็จากพวกเราไปตลอดกาล
เราทุกคนโศกเศร้าอย่างบรรยายไม่ถูก มันใจหายค่ะ สงสารพี่หน่อย พี่เชนและน้องไหมอย่างที่สุด พวกเขาเสียใจเป็นอย่างมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีอีกแล้วเสียงหัวเราะ ขนาดจะยิ้มยังยากเลย
เสร็จงานศพของน้องแพรแค่ไม่กี่วัน พี่หน่อยก็โทรมาหาดิฉัน บอกว่ามีธุระสำคัญอยากจะคุยด้วย ให้รีบไปหาที่บ้าน ดิฉันก็ไปทันทีหลังเลิกงาน
เมื่อกินมื้อเย็นเสร็จน้องไหมก็แยกตัวเข้าห้องนอนอย่างเงียบๆ พี่เชนขอตัวไปเตรียมเอกสารที่จะประชุมในวันพรุ่งนี้ เหลือแต่พี่หน่อยที่นั่งคุยอยู่กับดิฉันเพียงลำพัง
พี่หน่อยแกเล่าให้ดิฉันฟังว่า เมื่อวานนี้เองตอนที่กำลังเตรียมทำอาหารอยู่คนเดียวในห้องครัว เธอว่ากำลังเอาไก่ออกจากตู้เย็นและเตรียมตำน้ำพริก ขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาก็รู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองจากทางด้านหลัง เธอหันขวับไปดูทันที ก่อนจะยืนตะลึง เพราะร่างของน้องแพรผู้ล่วงลับยืนอยู่ตรงนั้นค่ะ น้องแพรใส่ชุดสีฟ้าอ่อน ผมสยายเคลียไหล่ เป็นภาพที่บีบหัวใจผู้เป็นแม่อย่างสุดแสนจะบรรยาย
พี่หน่อยยังเล่าต่ออีกว่า ลูกยืนอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ดวงตาจ้องมองเธออย่างอ่อนโยน และยิ้มน้อยๆ อย่างที่เคยเห็นมาชั่วชีวิต
‘นี่ใครกัน แพรหรือไหม’
พี่หน่อยแกคิดในใจ แต่ก็ตอบคำถามของตัวเองไม่ได้ จู่ ๆ เธอก็ขนลุกซู่!
“ไหม?”
พี่หน่อยเรียกเบาๆ แต่ทว่าเกมที่น่าสนุกที่เด็กๆ ชอบเล่นหวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อเด็กน้อยยิ้มและตอบว่า “แพรค่ะ!”
พี่สาวดิฉันบอกว่าตอนนั้นเธอตัวชา หูอื้อ สับสนไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่พูดเสียงสั่นเครือว่า
“หนูอย่าเล่นอย่างนี้เลยลูก แม่คิดถึงแพรเหลือเกิน…”
ลูกสาวยิ้มจางๆ แล้วหมุนตัวกลับออกจากห้องไป ทิ้งผู้เป็นแม่ให้ยืนอึ้งตาค้างไว้เพียงลำพัง แต่เพียงอึดใจต่อมา พี่หน่อยก็ได้สติและรีบเดินไปดูที่ห้องนั่งเล่น และสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือ น้องไหมนั่งหันหลังให้อยู่ตรงโต๊ะข้างโทรทัศน์ ไม่มีทีท่าว่าเพิ่งกลับออกมาจากห้องครัวแต่อย่างใด และที่สำคัญ ไหมสวมชุดสีเหลืองอ่อน…ไม่ใช่สีฟ้า!
“ถ้าอย่างนั้นเด็กที่อยู่ในครัวก็เป็นแพรใช่ไหม…แพรยังอยู่ใช่ไหม!”
พี่หน่อยถามดิฉันด้วยเสียงปนสะอื้นจนน่าใจหาย ดิฉันก็ไม่รู้จะตอบยังไง และไม่รู้ว่าแพรจะต้องวนเวียนอยู่อย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน ดิฉันยอมรับว่าขนลุก แต่ก็ไม่กลัวแกหรอกค่ะ น้องแพรอาจจะมาร่ำลาแม่เธอเป็นครั้งสุดท้ายก็เป็นได้
ดิฉันเหลือบไปมองที่ประตูห้องก็เห็นไหมยื่นหน้าออกมา และแกก็จ้องสบตากับดิฉัน แต่ในสีหน้าและแววตานั้น ดิฉันรู้สึกเหมือนกำลังสบตากับแพรจริงๆ คราวนี้ทำเอาขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเลยค่ะ ก่อนที่เธอจะพูดว่า
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
เป็นเสียงของน้องไหม ถึงอย่างนั้นก็ทำเอาดิฉันใจหายแว้บอยู่เหมือนกัน
“ไม่มีอะไรหรอกลูก ไปนอนเถอะ”
พี่หน่อยแกพูดกับลูกเหมือนพยายามกลบเกลื่อนคราบน้ำตาที่อาบแก้มอยู่
แต่ก็ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นมาพี่หน่อยก็ยังคงได้พบกับเรื่องราวแปลกๆ อยู่เสมอ ทั้งเสียงฝีเท้าที่ฟังดูคุ้นหู เสียงเรียกที่ดังมาจากที่ไกลๆ และเงาวูบวาบตามมุมมืดของห้อง พี่หน่อยเธอบอกดิฉันว่าทั้งหมดนั้นคือแพร และเด็กน้อยผู้ล่วงลับยังคงอยู่
เป็นความจริงที่มีเพียงพี่หน่อยเท่านั้นที่สัมผัสได้ ก็คนเป็นแม่นี่คะ ดิฉันรู้สึกสงสารจับใจ และต้องใช้เวลาอยู่นานเป็นปีกว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย
จนถึงทุกวันนี้พี่หน่อยก็ทำใจได้และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ เพราะไม่ว่ายังไงชีวิตคนเราก็ต้องเดินหน้าต่อไปค่ะ เรื่องราวแปลกๆ ที่เคยเกิดขึ้นก็ค่อยๆ เงียบหายไป เธอคงไปสู่สุขคติแล้ว พวกเราทุกคนยังคิดถึงน้องแพรอยู่เสมอและจะคิดถึงตลอดไป