[เปิดกรุผีไทย] โดย ครูเหม เวชกร เรื่อง ภาพปั้นเป็นเหตุ (ตอนที่ ๒)
ความเดิมก่อนหน้า – ภาพปั้นเป็นเหตุ ตอนที่ ๑
การพบกับคุณนายนิ่มนวลได้ตกลงกันยกขบวนพวกเราไปกับพระด้วยที่บ้านคุณนาย โดยคุณนายจะจัดอาหารเพลให้แก่พระและอาหารกลางวันของพวกเรา เพราะแกต้องการความช่วยเหลือจริงๆ โดยนายมั่นได้ไปนัดหมายกันแล้ว ถึงวันนัดเราก็แห่กันไปทั้งก๊กเรา คุณนายออกมาต้อนรับเป็นอย่างดีและกันเอง ดีใจที่เราจะให้คำแนะนำแก
เมื่อคนใช้หลายคนได้เปิดประตูหน้าต่างห้องเก็บภาพปั้นสว่างดีแล้ว คุณนายก็เชิญเราเข้าชม พวกเราก็เข้าไปกันและสิ่งที่สะดุดตาก่อนอื่นก็คือภาพปั้นยืนตระหง่านอยู่ด้านหนึ่งของห้อง ที่เบื้องล่างตอนแท่นที่ยืนมีดอกไม้และธูปเทียนอยู่มาก คุณนพมองดูภาพปั้นนั้นเฉยอยู่โดยไม่ได้ออกความเห็นแต่อย่างใด ส่วนผมมองดูภาพนั้นแล้วก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ เพราะไม่เคยรู้จักกับผู้ตาย จึงไม่รู้ว่าเหมือนหรือไม่เหมือน แต่รู้ว่าช่างปั้นภาพนั้นเก่งจริงๆ ปั้นเหมือนคนจริงๆ ดูมีวิญญาณดังจะหายใจได้
คุณนายได้จัดเลี้ยงพระที่ห้องนั่งเล่นริมน้ำ พวกเราก็อยู่กับท่านที่นั่น คนใช้จัดการปิดห้องโถงนั้นเรียบร้อยแล้ว คุณนายได้นั่งคอยดูแลอาหารที่คุณนพฉันอยู่ และพูดคุยไปด้วย
“ความเห็นของฉันนั้นคือ ให้คุณนายไปติดต่อทางวัดเสียก่อน เพื่อตกลงจะเอาภาพใหญ่นั้นไปประดิษฐานที่นั่น แต่ควรเป็นวัดราษฏร์ ไม่ใช่วัดหลวง จะได้พูดอะไรง่ายๆ ซื้อที่แก่วัดเขาเสียตรงที่เราจะตั้งภาพ แล้วออกเงินบำรุงวัดเสียจำนวนหนึ่ง ก็คงสำเร็จง่ายๆ ครั้นตกลงทางวัดได้แล้ว จึงลงมือสร้างภาพปั้นใหม่ และหล่อเป็นทองแดงให้เล็กกว่าเก่า และเอาครึ่งตัว
ส่วนจะติดตั้งที่ใดนั้น สุดแล้วแต่คุณนาย ครั้นแล้วจึงอัญเชิญภาพเก่าไปวัดได้เป็นเวลาติดต่อกันดีด้วย และก็ตรงกับมรดกคือภาพเก่าก็คงอยู่แต่เปลี่ยนที่ไปเท่านั้น เราไม่ได้ทำลาย และทางบ้านก็มีภาพใหม่ของท่านแทนที่ก็ไม่มีอะไรผิดร้าย เรียบร้อยดีทุกอย่าง”
คุณนายดีใจก้มลงกราบ แล้วออกปากขอบคุณที่เห็นช่องทางโปร่งตลอดดี
เมื่อคุณนพฉันแล้วคุณนายก็จัดการอาหารให้พวกเรา มีวิสกี้ให้ดื่มด้วยตามฐานะของแก ตัวแกเองก็ร่วมรับประทานอาหารกับเราเป็นกันเอง เมื่อเสร็จอาหารแล้วเราพูดคุยกันอีกพักใหญ่ก็ร่ำลากลับ และก็เฮมาที่กุฏิคุณนพอีก คุณนพจึงเริ่มออกความเห็นเรื่องภาพปั้นนั้นให้เราฟัง
“ภาพปั้นนั้นมีวิญญาณสิงอยู่จริงๆ” คุณนพว่า
“เป็นยังไงบ้างครับ?” ผมถาม “เท่าที่ได้เห็นแก่ตามาแล้ว”
“วิญญาณเข้าสิงในภาพนั้น ก็เพราะลูกหลานนั่นแหละเป็นต้นเหตุ” คุณนพว่า
“เป็นยังไงกัน โปรดพูดเป็นข้อๆ ไปเลยครับ” ครูพยุงผู้มีนิสัยครูพูดอย่างกับว่าเป็นตำรา
“ภาพนั้น ถ้าหากว่าเผาศพไปนานแล้วและมาปั้นขึ้นก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นี่เขาปั้นขึ้นเมื่อศพตายใหม่ๆ จิตใจลูกหลานกำลังนุงนังอยู่นี่ ทุกคนใจจดใจจ่ออยู่กับผู้ตาย ทั้งรัก ทั้งอาลัย ครั้นมามีภาพปั้นที่เหมือนตัวจริง จิตก็ยึดเอาภาพนั้นว่าเป็นตัวจริง เพราะร่างกายของผู้ตายตัวจริงไปอยู่เสียในโลงที่ประดับลายทองระยับ มองไม่เห็นอะไร ทุกคนเกือบไม่สนใจร่างที่อยู่ในโลง กลับมาเพ่งเล็งเอาที่ภาพปั้นนั้นว่านั่นคือคุณพ่อคุณปู่คุณตา ต่างก็สักการบูชากันใหญ่
ไม่ว่าสิ่งใดเมื่อใจคนหมู่มากไปมั่นหมายเอาว่าเป็นนั่นเป็นนี่ สิ่งนั้นก็เกิดตามใจคนหมู่มาก วิญญาณของผู้ตายที่คนทั้งหมดจดจ่ออยู่ ก็ระเห็จมาสิงอยู่โดยรวดเร็ว ไม่ว่าจะดูเวลาใดว่าภาพนั้นอาจจะยิ้มรับ หรือโกรธขึ้งผู้มองดูได้ทุกอารมณ์ ทั้งนี้ก็เกิดจากลูกหลานเอาอารมณ์ตัวเข้าไปประกอบกับวิญญาณนั้นๆ ภาพนั้นจะอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร ย่อมเคลื่อนไหวได้ตามอารมณ์คนมอง
ตอนแรกๆ น่ะต่างคนต่างใจจดใจจ่อ ทั้งรักทั้งอาลัยไม่อยากให้ตาย ก็อยากให้ภาพนั้นกระดิกได้จะดีใจนัก ครั้นกระดิกเข้าจริงๆ ก็กลายเป็นกลัวกันหมด นี่แหละเขาจึงไม่นิยมปั้นภาพคนตายให้เท่าตัวจริง ย่อมเป็นสิ่งหวาดกลัวได้ในตอนหลัง”
เมื่อคุณนพแจงเหตุผลออกมาแจ่มแจ้ง พวกเราก็เห็นจริง ถูกแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็เกิดจากคนสร้างให้ก่อให้เกิดศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา
“ภาพนั้นไม่ใช่ตุ๊กตาธรรมดาเสียแล้ว” ครูพยุงพึมพำ
เมื่อเราเลิกประชุมกันแล้ว นายมั่นและครูพยังก็ลากลับไป ส่วนผมยังอยู่อาศัยพระก็แยกไปเข้าห้องที่พระยกให้อาศัย นอนพักผ่อนและคิดถึงเรื่องภาพปั้นนั้นอยู่คนเดียว
ต่อจากเวลานั้นได้ผ่านไปอีกเกือบอาทิตย์ นายมั่นก็รีบร้อนมาพบพวกเราที่วัดกันอีก
“เกิดเรื่องอีกมากมายครับ ภาพปั้นนั่นแหละ” นายมั่นเริ่มต้นเมื่อนั่งลงแล้ว
“เกิดยังไงอีก?” คุณนพถาม
“ภาพนั้นแหละครับ สำแดงเดชอีก คุณนายแกมาตามผมและเล่าให้ฟังว่า เมื่อทางผมยังหาช่างปั้นไม่ได้ คุณยุพาวดีลูกสาวแกที่อยู่มหาวิทยาลัยก็รั้งเอาเพื่อนศิลปินปริญญามาปั้นภาพใหม่ให้ พวกคนหนุ่มปริญญาน่ะเขาไม่สนใจอะไรหรอกครับ ทั้งๆ เขาก็รู้เรื่องดี แต่เขาไม่สนใจ
เมื่อคุณยุพาวดีจะเอาภาพถ่ายให้เป็นแบบ แต่ศิลปินนั่นเขาบอกว่าภาพเก่าสวยดีอยู่แล้ว เท่ากับปั้นจากตัวจริง ขอเอาภาพเก่าเป็นแบบเลย ทีนี้อีตอนที่เขาปั้นอยู่คนเดียว คุณยุพาออกจากห้องนั้นไปหาเครื่องดื่มมาให้ ขณะเมื่อเดินนำหน้าคนใช้ที่แบกถาดเครื่องดื่มเข้ามาที่เก่า เห็นศิลปินนั้นก้มหน้าขยำดินอยู่ เธอก็มองดูภาพปั้นที่เป็นแบบแล้วเธอก็ร้องกรี๊ดขึ้น ล้มสลบไป ทุกคนต่างตกใจ การปั้นได้หยุดชะงักลง”
“เอ๊ะ! แล้วทำไงกันล่ะ?” คุณนพถาม
“ก็เลิกกันไป ต่างพากันอุ้มคุณยุพาไปหาหมอ ศิลปินนั้นก็วางมือการปั้นตามคุณยุพาไปด้วยความเป็นห่วง ครั้นหมอแก้ไขคุณยุพาฟื้นแล้ว แกก็ยังร้องด้วยความกลัวและว่าซ้ำๆ กันอยู่เพียงคำหนึ่งว่า ฉันไม่ยุ่งๆ ฉันเลิก ดูกิริยาเธอยังหวาดเกรงสิ่งที่เห็นถึงกับสลบไป คุณนายกับหมอก็พยายามถามว่าเธอเห็นอะไรจึงตกใจดังนั้น เธอไม่ยอมบอก”
“ทำไมไม่บอกช่างปั้นให้เขาปั้นเสียให้เสร็จๆ จะได้หมดเรื่องหมดราวไปเสีย” คุณนพว่า
“จะไม่ยังงั้นน่ะซี พอคุณยุพาร้องว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น พ่อนายช่างนั่น พ่อก็วางมือเสียบ้างน่ะซี”
“อุบ๊ะ!” คุณนพร้อง “ดูมันยุ่งจริงนะ”
“รุ่งขึ้นแน่ะครับ คุณยุพาวดีเธอจึงเล่าให้ฟังว่าเห็นอะไร”
“เออๆ ว่าไงๆ” คุณนพถามติดหมัดเลย
“คุณยุพาเธอว่าในขณะที่แกมองเข้าไปในคราวแรก เห็นนายช่างเพื่อนแกกำลังก้มหน้าอยู่ เห็นภาพคุณปู่มีหน้าขึ้งเคียดแสยะเห็นฟัน แต่ครั้นคุณปู่มองมาทางเธอเข้า คุณปู่ก็เปลี่ยนหน้าเป็นหัวเราะแฉ่ง คุณยุพาเลยช็อกตอนนั้นแหละครับ”
พวกเราได้ฟังเรื่องถึงกับตาค้างไปเลย แต่คุณนพนั้นนั่งนิ่งเฉยๆ
“เอ๊ะ! จะเอาไงกันแน่ จะไม่ยอมให้ปั้น หรือคุณปู่หวังจะหยอกหลานสาวเล่น” คุณนพพูดคล้ายหาเหตุผลของเรื่องที่เกิดขึ้น
“โอย ถ้าปู่หยอกอย่างนี้ ถ้าหยอกเราบ้างก็แย่เลย” ผมว่า
“นั่นน่ะซี” นายมั่นรับเห็นด้วย ด้วยคำพูดติดปาก
“นี่ ศิลปินเขาไม่ปั้นต่อเรอะ” คุณนพถาม
“อ๋อ รุ่งขึ้นเขาปั้นต่อครับ แต่ขอให้คนอยู่เป็นเพื่อนด้วย”
“ตกลงศิลปินคนนั้นเขารับหล่อทองแดงด้วยซิ?”
“เขาไม่เอาครับ เขาบอกว่าไม่มีเวลาและไม่มีที่จะหล่อ ก็เลยมาเป็นเวรให้ผมต้องรีบหล่อและก็เป็นภาพครึ่งตัว และเล็กกว่าคนจริงมาก ถ้าโตเท่าเก่า จ้างกันเงินท่วมหัวก็ไม่ไหว” นายมั่นว่า
พวกเราหัวเราะขบขันนายมั่นที่รับงานได้แต่ละชิ้น ดูแต่เมื่อไปรับหล่อพระที่ทุ่งนครหลวงได้งานก็ไม่ได้ ยังแย่มาอีกด้วยซ้ำ ผมก็พลอยแย่ไปด้วย
“นี่แบบเขาปั้นเสร็จแล้ว นายมั่นเอาไปหรือยังล่ะ ที่จะทำการหล่อน่ะ”
“ผมเอาไปแล้ว ถ้าหล่อเสร็จเมื่อไหร่ ก็จะได้เอาภาพเก่าไปวัด”
“เออ หาวัดได้แล้วเรอะ ลืมถามไป วัดไหนล่ะ”
“วัดอะไรไม่รู้ครับ ทางบางบัวทองโน่น คุณนายแกให้ใครไปติดต่อไม่รู้ แต่ให้ตายซิ คุณเอ๋ย คุณนายนี่แกยุ่งกะผมเสียจริง ตอนจะเอาภาพปั้นเก่าไปไว้วัด แกขอให้ผมนำไปคุมไป โอย! ไหวเรอะ”
พวกเราหัวเราะครืนใหญ่ เห็นเป็นเรื่องแปลกและขันที่นายมั่นไปเกี่ยวข้องกับเขาเสมอ
“ผมจะหาทางเลี่ยง หลบมาอยู่วัดเสีย บอกทางบ้านว่าไปหัวเมือง”
นายมั่นและครูพยุงลาคุณนพออกจากวัดไปหาเหล้าดื่มกันที่ร้านเจ๊กนอกวัด และคุยกันเรื่องภาพปั้นอย่างสนุกบ้าง ตื่นเต้นบ้าง หวาดกลัวบ้าง ดื่มพอตึงหน้าแล้วต่างก็ลาแยกทางกัน ครูพยุงกับผมไปดูหาตึกเช่าด้วยกันเพื่อจะตั้งโรงเรียน ต่อไปก็ไม่พบกันอีกตั้งสามอาทิตย์กว่า เพราะต่างคนต่างก็มีธุระของตน นายมั่นคงจะทำการหล่อภาพปั้นทองแดงรายนั้น จนวันหนึ่ง ผมกับครูพยุงกำลังนั่งถกเถียงกันเรื่องตึกเช่าที่ไปดูมาแล้ว ยังจะเหมาะไม่เหมาะแก่เรา คุณนพเป็นประธานในเรื่องนี้ด้วย ก็พอดีนายมั่นของเราวิ่งหน้าเริดมาพบเราที่กุฏิคุณนพ
“วินาศเลย! วินาศเลย!” นายมั่นร้องแต่คำนี้ซ้ำๆ กันตั้งแต่ยังไม่ได้นั่ง
“อะไรกันพ่อ?” คุณนพร้องถามและหัวเราะ
“โฮ้ย! วุ่นใหญ่ อ้ายภาพปั้นนั่นแหละ” นายมั่นตอบยกมือยกไม้ประกอบ
“อาละวาดอีกเรอะ” ครูพยุงถาม
“เห็นจะใช่ครับ จะเรียกว่าอย่างนั้นก็เห็นจะได้ แต่ผมไม่ได้ไปเห็นมาเองหรอก คุณนายมาหาผมเมื่อเช้านี้เอง มันเกิดวุ่นใหญ่แล้ว วุ่นอย่างไม่รู้จะแก้ยังไงเชียวให้ตายซิ เรื่องการย้ายภาพปั้นตัวเก่านั่นแหละ เมื่อผมนำภาพหล่อใหม่ไปให้แล้ว ผมก็หลบหน้าคุณนายบอกว่ารีบไปธุระหัวเมือง คุณนายแกร้อนใจอยากจะย้ายเอาภาพปั้นเก่าไปวัดเร็วๆ ก็ไปหาใครไม่รู้มาทำการอัญเชิญบอกเล่าเก้าสิบแก่ภาพนั้น แล้วมอบให้พวกรับเหมาจีนทำการขนย้ายลงเรือ
แหม! หนักเอาการอยู่ ทั้งแท่นและตัวภาพต้องใช้เจ๊กหามสี่คนยังแย่เลย พอหามไปถึงโป๊ะที่ท่าน้ำก็ทำกระดานพาดเพื่อจะเลื่อนภาพนั้นลงเรือต่อ แต่ยังไงไม่รู้ครับ เชือกที่ผูกเรือหลุด คลื่นเรือไฟกำลังยอโยนไปมา กระดานที่พาดก็เลื่อนผิดที่ ภาพปั้นนั้นเลยหล่นน้ำ มีเจ๊กเกาะติดไปด้วย จมน้ำไปตั้งนานโผล่ขึ้นมาได้แทบตาย พวกรับเหมาหน้าจ๋อยเลย ทำของเขาตกน้ำ”
เราทุกคนต่างตกใจดังว่าของสิ่งนั้นเป็นของเรา คุณนพอ้าปากค้างร้องไม่ออก ได้แต่ยกมืออย่างตระหนกตื่นเต้น อะไรเล่ามันถึงเป็นกันไปอย่างนั้น
“งมเจอหรือเปล่า?” คุณนพถามเสียงดัง
“ตรงนั้นน้ำลึกเป็นบ้าเลยครับ เรือไฟลำใหญ่ๆ ยังเคยจอดได้” นายมั่นร้อง
“ตายละวา!” คุณนพร้อง
“ผมกับคุณนายไปตามประดาน้ำที่คลองบางกอกน้อยมางม เขาก็มากันสามคน ดำหากันตั้งครึ่งค่อนวันยังไม่พบเลยครับ ป่านนี้ยังงมหากันอยู่ ผมเลยหลบตัวมาบอกนี่แหละ”
“โอ! ไม่ยอมจะจากที่เก่าไป” คุณนพว่า “เป็นคนหวงที่ จะคุมที่ดินอันเป็นของเก่าอยู่ใต้น้ำนั่นเอง แหม! น่ากลัวแฮะ นี่! นายมั่นอย่าไปยุ่งกะเขาเลยนะ ท่าทางไม่เป็นเรื่องหรอก”
“นั่นน่ะซี” นายมั่นรับติดปากออกมาเลยตามที่เคยปาก “ผมจะแอบหลบอยู่วัดชั่วคราวละครับ ไม่ไหว ถ้าอยู่บ้าน แกตามมาพบทุกที”
“แต่เอ๊ะ! คุณนายแกเคยรู้ว่านายมั่นมาหาฉันเสมอนา นายมั่นพลั้งปากพูดไปเมื่อตอนไปดูภาพปั้นกันวันนั้น” คุณนพพูดขึ้น นายมั่นตาโพลง
“เอ๊ะ! เอาละซีจะทำไงล่ะ เอายังงี้เถอะ ถ้าแกตามมาหาพบคุณ คุณบอกว่าไม่เห็นมาก็แล้วกัน”
“อ้าว ทำไมจะให้พระโกหกเล่า” คุณนพว่า พวกเราหัวเราะ
“ไปอยู่บ้านครูพยุงก่อนซิ” คุณนพแนะ
“เออ จริงแฮะ เอาก็เอา” นายมั่นรับเอาง่ายๆ
พวกเราถึงกับเงียบพูดอะไรไม่ออก รู้สึกใจเต้นระทึก ฟังเรื่องแล้วรู้สึกว่าบ้านนั้นจะมีอาถรรพณ์ต่อไป ถ้าสร้างตึกเสียใหม่แล้วเอาภาพปั้นใหม่ขึ้นตั้งเสีย คงจะค่อยยังชั่วไปหน่อย ป่านนี้ภาพปั้นที่น่ากลัวนั้นมินอนลืมตาเฝ้าบ้านของตัวอยู่ใต้น้ำนั่นเอง เมื่อไรเล่าจะมีใครมาทำพิธีแก้อาถรรพณ์ได้ ผมนึกในใจว่ามีใครมาจ้างผมให้ลงไปอาบน้ำตรงนั้น จะเป็นกี่แสนบาทก็ไม่เอา
เหม เวชกร