ใครซ้อนท้าย? | เรื่องเล่าสยองขวัญ

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่รุ่นน้องที่ทำงานคนเก่าเล่าให้ฟังครับ มันเป็นเรื่องที่เกิดบนท้องถนนในเขตปริมณฑล ซึ่งขณะนั้นยังค่อนข้างมีความเป็นชนบทอยู่มาก และเช่นเคยสำหรับเรื่องนี้ ผมขอใช้คำว่า ‘ผม’ แทน ‘รุ่นน้องที่ทำงาน’ เพื่อให้ง่ายแก่การถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้ฟังมา

หลังจากที่ผมและเพื่อนร่วมห้องเช่า กลับมาจากการเดินเที่ยวตลาดนัดในกรุงเทพฯ ความหิวที่ตอนเดินไม่รู้สึกกันเลยก็เริ่มแผลงฤทธิ์ สำหรับที่นี่ ยามใกล้เที่ยงคืนเช่นนี้ เป็นช่วงที่อาหารการกินหายากมาก เพราะแถวนี้ สองข้างทางยังหนาแน่นไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าและที่รกครึ้ม

แสงสว่างจากไฟทางและบ้านพักอาศัย มีให้เห็นเป็นช่วงๆ เพราะบ้านเรือนยังไม่หนาแน่น อีกทั้งนานๆ ครั้งจึงจะเห็นรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์แล่นผ่านมาให้เห็น

ผมเองก็คิดหนักอยู่เหมือนกันที่จะต้องเดินทางออกจากหอไปหาของกินในบรรยากาศเช่นนี้ แต่อย่างว่า ความหิวไม่เคยปราณีใคร เมื่อตกลงใจแน่วแน่แล้ว ผมและเพื่อนจึงควบมอเตอร์ไซค์เพื่อพากันไปยังร้านข้าวต้มโต้รุ่งในตัวตลาด ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณเก้ากิโลเมตร

อาการสองจิตสองใจยังมีอยู่เป็นระยะจนกระทั่งรถมอเตอร์ไซค์ออกตัว สองข้างทางมืดและวังเวง ถนนทั้งเส้นมีเพียงมอเตอร์ไซค์ของพวกเราคันเดียว ในช่วงที่ไฟทางไม่มี หรือดูดับไปช่วงยาวๆ ก็มีเพียงไฟหน้ารถเท่านั้นเป็นที่พึ่งทางใจ

ลมหนาวพัดปะทะใบหน้าและร่างกายจนหนาวเยือกสั่นสะท้าน ตลอดทางพวกเราไม่ได้คุยกันเลยสักคำ เพราะคุยกันไม่ค่อยได้ยิน ซึ่งก็ยิ่งทำให้รอบกายน่าวังเวงขึ้นไปอีก แสงสว่างทึมๆ ของอาคารหอพักขนาดใหญ่หลายหลังที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า บอกให้รู้ว่าพวกเรามาถึงครึ่งทางแล้ว

ก่อนจะเป็นอาคารหอพักแบบนี้ เมื่อก่อนบริเวณนั้นเคยเป็นพื้นที่รกร้างซึ่งไม่มีใครใช้ประโยชน์ ทางกลับรถหน้าอาคารหอพัก มีอุบัติเหตุรุนแรงและบ่อยเป็นอันดับต้นๆ ของย่านนี้ ด้วยเพราะมีจำนวนคนและรถราหนาแน่นที่สุด

มอเตอร์ไซค์แล่นผ่านทางกลับรถและตัวอาคารหอพักไปอย่างเชื่องช้า ด้วยความระแวดระวังว่าจะกลายเป็นหนึ่งในผู้เกิดอุบัติเหตุ รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาทันใดอย่างไม่มีสาเหตุ

เมื่อยานพาหนะของพวกเราเคลื่อนผ่านจุดนั้นไป ผมเริ่มคลายใจได้บ้าง จนกระทั่งเพื่อนของผมแสดงท่าทางอะไรแปลกๆ ออกมา มันหันกลับไปมองด้านหลังที่เพิ่งขี่ผ่านมา หันกลับไปมองทาง แล้วก็หันกลับไปมองด้านหลังอีกครั้ง เหมือนไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง

ผมรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลจึงหันกลับไปมองบ้าง ก็เห็นมอเตอร์ไซค์คันที่เพิ่งขี่ผ่านพวกเราไป ไม่มีอะไรผิดปกติ

“เห้ย มองทางข้างหน้าดีๆ เดี๋ยวรถก็ชนหรอก” บอกเพื่อนไป

“เมื่อกี้เห็นอะไรรึเปล่า” เจ้าเพื่อนซี้ละล่ำละลักถาม เสียงสั่นฟังก็รู้ว่ากำลังกลัว

“อย่าจอด ขับไปเรื่อยๆ มีอะไรค่อยคุยทีหลัง” ผมบอกทันทีที่เห็นมันกำลังจะจอดรถข้างทาง

“เมื่อกี้เห็นอะไรรึเปล่า” แต่มันก็ยังคงถามคำถามเดิมต่อ

“บอกว่าเดี๋ยวคุยกันไงเล่า จะพูดตอนนี้ทำไม ไปเร็วๆ” ผมเสียงแข็ง เพราะต้องการให้มันหยุดพูดเดี๋ยวนี้

รถเคลื่อนผ่านไปท่ามกลางความเงียบเชียบ ไม่มีใครพูดอะไรต่อ อากาศที่หนาวเย็นอยู่แล้ว ยิ่งเย็นเฉียบจนแทบทนไม่ไหว จนกระทั่งพวกเรามาถึงร้านข้าวต้มโต้รุ่งเรียบร้อยแล้ว เห็นเพื่อนซี้ซึ่งร้อนใจ กระวนกระวายมาสักพัก ดูก็รู้ว่าต้องการคุยเรื่องเมื่อสักครู่ต่อ

“เอ้า มีอะไรว่ามาได้แล้ว ตรงนี้สว่างแล้ว มีคนเยอะด้วย ไม่ต้องกลัวแล้ว”

“เมื่อกี้ตอนขี่ผ่านทางกลับรถมา เห็นอะไรรึเปล่า” ถามคำถามเดิมอีก

“เห็นอะไรล่ะ ตกลงเห็นอะไรก็บอกมาสิ” ผมถามกลับ

“เห็นมอเตอร์ไซค์ขี่ย้อนเลนกลับมารึเปล่า” มันเริ่มคายสิ่งที่อยากรู้มาให้ผม

“เห็นสิ ทำไม” ใช่ ผมเห็นมอเตอร์ไซค์คันนั้น จึงบอกไป

“แล้วเห็นคนที่นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คันนั้นรึเปล่า” เสียงของมันเริ่มกลับมาสั่นอีกครั้ง

“ทำไมล่ะ นี่แกเห็นอะไรก็รีบๆ บอกมาเถอะ” ผมถามกลับ เริ่มนึกหวาดๆ ขึ้นมาแล้ว

“เห็นคนแก่ว่ะ แก่จนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียว นั่งหันข้างเหมือนผู้หญิงก้มหน้าก้มตาอยู่เบาะหลังตัวแข็งทื่อเลย มือไม้ก็ไม่ได้เกาะอยู่กับอะไร” เสียงสั่นนั้น แผ่วเบาลงเหมือนกลัวว่าจะมีใครได้ยิน

แค่นั้นเอง ผมซึ่งนั่งฟังด้วยใจตุ๊มต่อมอยู่แล้ว ก็ชำเลืองสายตาไปรอบ เหมือนกลัวจะมีใครแอบฟังอยู่เช่นกัน

“มอเตอร์ไซค์ที่แล่นย้อนเลนมาน่ะ เห็น แต่คนซ้อนท้ายที่อยู่บนมอเตอร์ไซค์ ไม่เห็นว่ะ…” พูดเสียงแผ่ว พร้อมสังเกตสีหน้าของเพื่อนผม

“ไม่เห็นจริงเหรอ” เพื่อนของผมถามซ้ำด้วยน้ำเสียงซึ่งหวาดวิตกขึ้นอย่างชัดเจน

“เออ ไม่เห็น คนแก่ที่แกว่าเนี่ย ไม่เห็นเลย คนทั้งคนนะเว้ย ดูไม่ผิดหรอก” ผมพูดย้ำอีกครั้งท่ามกลางความรู้สึกที่วังเวงขึ้นมาอย่างประหลาด

แล้วเราทั้งสองก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย ก้มหน้าก้มตากินกันเหมือนกับหิวเสียเต็มประดามาจากไหน ผมไม่รู้ว่าเพื่อนของผมคิดยังไงในเวลานี้ แต่ในขณะที่ผมกำลังค่อยๆ ตักอาหารตรงหน้าเข้าปากทีละคำ ทีละคำ ในสมองของผมก็คิดวนไปวนมาอยู่ตลอดเวลา

ขากลับจะเป็นยังไงบ้างนะ…

ใช่แล้วครับ ขากลับของน้องสองคนนี้น่ากลัวสุดๆ จริงๆ ครับ เพราะถึงแม้จะโชคดีที่ไม่เจออะไรแบบขามา แต่มโนภาพและสภาพแวดล้อมบวกกับสิ่งที่พบเห็นตอนขามาก็ทำให้จินตนาการของทั้งสองคนนี้ตะลึงพรึงเพริดไปถึงไหนต่อไหนอย่างช่วยไม่ได้ กว่าจะฝืนขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนกลับทางเดิมจนถึงที่หมาย ก็เรียกว่าเหงื่อตกและเสียวสันหลังกันนับครั้งไม่ถ้วนล่ะครับ

error: Content is protected !!