ปีศาจของไทย | ครูเหม เวชกร เรื่อง ไปฝังศพ
เป็นเหตุการณ์ตอนหนึ่งของนายทองคำเมื่ออายุยังน้อย และไปรับการศึกษาอยู่ที่อยุธยา เหตุการณ์เกี่ยวกับภูตผีปีศาจตอนนี้ได้บันทึกจากปากคำของนายทองคำไว้โดยทุกประการ
เรื่องที่ผมจะเล่าให้คุณฟังตอนนี้ จะเป็นปีอะไรผมก็จำไม่ได้เสียแล้ว แต่เวลานั้นอายุผมในราว ๑๒-๑๓ ปี ได้เคยประสบกับเรื่องที่เกี่ยวกับผีที่ร้ายกาจตอนหนึ่ง เป็นสมัยที่ผมกำลังอยู่กับยายที่อยุธยาใกล้ตัวจังหวัด ปีนั้นเกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นอย่างหนัก ชาวบ้าน ชาวสวน ชาวนา ชาวไร่ตายกันอย่างหนักทุกวี่ทุกวัน
ข่าวการตายของกาฬโรคแพร่สะพัดไปทั้งอยุธยา ที่โน่นก็ตายที่นี่ก็ตาย พระสงฆ์องค์เจ้าไม่ละเว้น ผู้ที่ไม่ตายก็พากันหนาวสะท้านไปตามๆ กัน ทั้งหนาวกลัวโรคและหนาวกลัวภูตผีปีศาจที่ตายซับซ้อนแทบไม่เว้นแต่ละวัน
ในอยุธยาเงียบเหงาเศร้าโศก ที่ใดที่เคยมีผู้คนชุมนุมคับคั่งก็บางตาแทบจะไม่มีคน ไม่มีการเที่ยวเตร่ชื่นบานกันอย่างเคย เก็บตัวอยู่กับบ้าน บ้านใครใครอยู่ระวังตัวกลัวตายไปทั้งนั้น การสุขาภิบาลของเราตอนนั้นยังไม่เข้มแข็ง ชาวบ้านหันเข้าพึ่งพระ รดน้ำมนต์ปัดรังควานกันไป บ้างก็ผูกสายสิญจน์ที่คอและข้อมือ
ในยามค่ำคืนจะได้ยินเสียงแต่สุนัขหอนอย่างเยือกเย็นไปทุกแห่ง ยายของผมแกว่า เสียงอย่างนี้เป็นสัญญาณแห่งมรณะ และการไข้จะลุกลามอีกอย่างไม่หยุดหย่อน
ความตายที่จะเกิดจากโรคนั้น ตัวผมไม่รู้สึกกลัว แต่เรื่องกลัวผีนี่น่ะซี หนาวสะท้านเข้าหัวใจ ข่าวการตายได้เพิ่มแก่หูอยู่ทุกวัน รู้สึกว่าแทบทุกแห่งจะมีเงาของปีศาจวูบวาบไปทั้งหมด เข้านอนกลางคืน พอดับไฟหมดแล้วไม่อยากจะหายใจดัง เกรงปีศาจจะได้ยิน
นอกบ้านออกไปไกลเสียงสุนัขหอนเป็นหมู่เยือกเย็นไม่ขาดเสียง ยิ่งนึกถึงคำพูดของยายที่ว่า เสียงอย่างนี้เป็นสัญญาณแห่งมรณะยิ่งหนาวสะท้าน กลิ่นธูปที่ยายจุดบูชาพระตลบทั่วบ้าน ทำให้เกิดความกลัวเพิ่มขึ้นอีก
ยายของผมอาจจะกลัวตายมากกว่ากลัวผี ผมไปโรงเรียนแกสั่งให้รีบกลับ ห้ามแวะเวียนไปไหนกลัวจะไปนำเชื้อโรคกลับมา ตอนเย็นจวนค่ำแกปิดประตูหน้าต่างหมด แล้วเริ่มจุดธูปเทียนบูชาพระ แล้วพูดดังๆ ขอพรพระมิให้โรคเข้ามากล้ำกราย
เช้าวันหนึ่งเป็นวันพระ ผมหยุดโรงเรียน ชะโงกหน้าต่างมองไปที่ทางเดิน เห็นคนหามโลงศพเดินผ่านไปอย่างเร่งรีบ ผมหลบหน้าวูบเข้าบังฝาเลย ใจคอสั่น นั่นหมายถึงว่ามีใครตายใกล้บ้านเราเข้าแล้วซิ ผมร้องบอกยาย แต่ยายรีบเอามืออุดปากผม ผมเลยนิ่งเงียบ ยายนั่งลงพนมมือไหว้พระแล้วสวดมนต์ ผมไม่ได้สวดแต่ก็แอบนั่งอยู่ใกล้ๆ นั่นเอง
ตกตอนสายผมคงขลุกอยู่ในห้อง ลูบคลำจังหันลมที่ลองทำขึ้นเอง เพราะเคยเห็นเพื่อนบ้านเขาทำกัน เวลาลมจัดๆ จังหันชนิดนี้จะร้องหึ่งๆ ได้ แต่ที่ผมทำเองนั้นมันจะร้องได้หรือมิได้ยังหารู้ไม่ ผมพยายามทำเองอย่างไม่มีครู เห็นเขามาก็มาคิดทำเอง จึงยังไม่แน่ใจว่าจะดังหรือไม่ดัง
ความจริงน้าชายห่างๆ ของผมคนหนึ่ง แกชื่ออั๋น บ้านแกอยู่ในคลองบางสะแก แกเคยรับปากผมว่าจะทำให้ผมเล่นสักอัน แต่นานๆ แกจะมาสักที ผมก็คอยแล้วคอยเล่า มือคลำจังหันที่ยังไม่สมบูรณ์ไปใจก็นึกถึงน้าอั๋นไป ก็พอดีได้ยินเสียงยายที่นั่งอยู่ท้ายครัว ตะโกนทักเรียกชื่อคนที่ผมคอยนักคอยหนา
“อ้าว! นั่นเจ้าอั๋นรึ” พอผมได้ยินคำนี้เท่านั้นก็ดีใจ โดดพรวดออกจากห้องตรงไปที่ยาย แต่ไม่เห็นน้าอั๋น เห็นแต่ยายนั่งทำอะไรอยู่คนเดียว
“ไหนเล่ายายน้าอั๋น?” ผมถามแก แกกลับเลิกคิ้วมองดูผม
“อ้าว! มันไม่ได้เข้าไปหาเอ็งรึ?”
“เปล่าจ้ะ”
“ถ้ามันจะเลยไปบ้านโน้นกระมัง”
“เขาแน่หรือจ๊ะยาย?”
“บ๊ะ มันยังยิ้มกะข้านี่หว่า”
“เอ๊ะ! ยายจ๋า เมื่อกี้ยายเห็นน้าอั๋นเขาถือจังหันมาด้วยหรือเปล่า”
“ไม่เห็นว่ะ ไม่เห็นมันถืออะไร มันยังยกมือไหว้ข้านี่ ไม่เห็นมันมีอะไร”
ผมเสียใจวูบ ถ้าน้าอั๋นไม่ถือจังหันติดมือมาก็แปลว่าน้าอั๋นไม่ได้ทำให้อีกตามเคย รู้สึกเสียดายเป็นกำลัง นานๆ แกจะออกมาจากคลองบางสะแกสักหน ด้วยความอยากพบผมจึงเดินออกไปดูข้างนอกบ้าน เมื่อมองไม่เห็นจึงเลยไปบ้านยายอ่อง เพราะตามเคย ถ้าเขามาหายายเขามักจะเลยไปบ้านยายอ่องทุกคราว ถูกคอกันนักกับน้าสมลูกชายยายอ่องเรื่องกระบี่กระบอง คุยสามวันไม่จบ
ไม่พบน้าอั๋นที่บ้านยายอ่องอย่างคิดไว้ จึงเดินดูแถวใกล้ๆ จนทั่วก็ไม่พบ กลับเข้ามารายงานกับยายตามนั้น
“เอ! ตาจะฝาดไปกระมังหว่า” ยายว่า “แต่มันยืนอยู่ที่ประตูนั่นแหละ พอข้าทักมันแล้วข้าก็ก้มหน้าทำอะไรของข้า แล้วมันไปเสียข้างไหนหว่า” แกบ่นแล้วมองตาผมอย่างขอความเห็น
“ยายเห็นใครก็ไม่รู้” ผมพูดอย่างรำคาญใจ นึกเสียดายที่ไม่ได้พบกัน พูดแล้วเลยเดินเข้าห้องอย่างหมดหวัง หยิบนิทานอีสปมาอ่านดับความพลุ่งพล่าน ในที่สุดก็หลับไป
เป็นเวลาบ่ายสักสามโมงเย็น ผมตกใจตื่นโดยมีเสียงใครมาพูดอย่างร้อนรนกับยาย และมีเสียงยายโต้ตอบบ้างบางคำ และก็เป็นเสียงตกใจเช่นกัน ผมรีบออกจากห้องไปที่เขาพูดกันนั้น ก็พบหญิงคนที่บ้านน้าอั๋น คือพี่สอน นั่งพูดอยู่กับยาย
“ข้านึกไม่ผิดเชียวอีสอนเอ๋ย พอเห็นหน้ามันมาที่ประตูเมื่อเช้านี้แล้วก็หายไป ข้านึกสังหรณ์ใจ อนิจจังทุกขังอุตส่าห์มาให้เห็น” คำพูดของยายคำนี้สะกิดใจผมพิลึก
“อะไรจ๊ะยาย?”
“อ้ายอั๋น! ตายเมื่อเช้ามืดนี่เอง” ผมตกใจตัวชาวูบ คล้ายจะล้มลงทั้งยืน รีบทรุดลงนั่ง
“แหม! ใจคอฉันไม่อยู่กับตัวเลย” พี่สอนพูดต่อ “มันเพิ่งจะเข้าไปถึงหมู่บ้านฉัน อ้ายเก๊าที่แพขายของใกล้บ้านก็ตายเมื่อวานนี้” พี่สอนหยุดพูด แล้วยกแขนตัวเองขึ้นดู “แหม! ฉันขนลุก” แล้วพูดต่อไปด้วยเสียงกระซิบ
“เมื่อคืนนี้ยายทวดแกฝันไปว่า มีใครไม่รู้มาบอกแกว่า การไข้คราวนี้จะกินคนอีกไม่น้อย จนกว่าหลุมศพจะฝั่งซ้อนกันนั่นแหละจึงจะหยุด” พี่สอนพูดแล้วกอดอกจนตัวลีบ ส่วนอาการของยายนั้นหน้าขาวเผือด ดวงตาเปิดกว้าง สำหรับอาการผมเองนั้นมองไม่เห็นตัวเอง รู้สึกเพียงว่าใจคอสั่นและเต้นไม่เป็นระเบียบ
“ไปกันเถอะยาย” พี่สอนเตือน “เขาให้รีบมาบอกยายเร็วๆ พอพลบจะเอาศพไปฝัง หมอหลวงเขาเร่งให้ฝังแต่กลางวัน ขอผัดเขาไว้บอกญาติให้ทั่วกันก่อน”
“ไปซี” ยายพูดแล้วลุกขึ้นจะไปแต่งตัว แล้วหันมาทางผม “อ้าว เจ้าคำ รีบหาเสื้อใส่เร็ว”
ผมไม่อยากจะไปเลย กลัวเหลือเกินเรื่องการตาย แกตายแล้วยังมาหาเมื่อเช้านี้ ซ้ำยังไปหาศพแกอีกใครจะกล้า แต่จะไม่ไปนั้นก็ไม่ได้ จะอยู่คนเดียวที่บ้านไม่ไหวแน่ เมื่อเช้านี้ถ้ายายตาฝาดไปก็ไม่เป็นไร ถ้าเกิดน้าอั๋นมาจริงๆ ตามที่เห็น ถ้าผมเฝ้าบ้านคนเดียวแล้วน้าอั๋นสวนทางมาเยี่ยมผม ผมก็ตายเท่านั้นเอง ตกลงใจไปดีกว่าอยู่ สวมเสื้อแล้วก็ไปกันทั้งสามคน
เราเดินทางโดยเรือแจวที่พี่สอนเอามารับ ตลอดทางในคลองผมไม่เบิกบานจะชมนกชมไม้อย่างเคย ใจมันกลุ้มมันอลเวงอยู่ตลอดเวลา ยายกลัวจะช้าคว้าพายช่วยจ้ำหัวเรืออีกคนหนึ่ง ตอนท้ายพี่สอนเป็นคนแจว ผมเองพายไม่ค่อยออกแรงเท่าใดนัก เพราะไม่คิดอยากจะถึงเร็ว คิดว่าถ้าบ้านไกลกว่านี้จะดีมาก ต้องพักหยุดค้างที่บ้านอื่นก่อนแล้วค่อยไป จะพอผ่อนความวุ่นใจลงบ้าง แต่ไม่เป็นผล เพราะบ้านน้าอั๋นจะถึงอยู่ในชั่วครู่นี่เองแล้ว
เรือเทียบตลิ่งหน้าบ้านซึ่งมีเรือจอดอยู่แล้วมากลำ มองขึ้นไปบนบ้าน เห็นพวกบ้านใกล้และไกลมานั่งหน้าเศร้าๆ แววตามีทุกข์ร้อน มีคนมากก็จริงอยู่ แต่ไม่มีใครพูดจากันเอะอะเหมือนศพที่ตายกันธรรมดา ตอนกลางคืนจะมีสวดพระอภิธรรม ย่อมมีเสียงเอะอะพูดจาจัดงานกัน แต่นี่เป็นศพที่จะต้องรีบนำไปฝังในตอนพลบค่ำนี้ จึงไม่มีใครจัดทำอะไรกัน ด้วยว่าศพก็อยู่ในโลงแล้ว เพียงแต่รอญาติพร้อมเท่านั้น
อ่านต่อ – ไปฝังศพ ตอนที่ ๒ (จบ)