ปีศาจของไทย | ครูเหม เวชกร เรื่อง ไปฝังศพ (ตอนที่ ๒)

ความเดิมก่อนหน้า – ไปฝังศพ ตอนที่ ๑

บางคนนึกแช่งผู้ที่มาช้า โดยเป็นผู้ถ่วงเวลาให้พลบค่ำ ที่ไม่เหมาะแก่การจะไปฝัง จะต้องขมุกขมัวอยู่ในป่าช้า ขุดหลุมฝังกว่าจะเสร็จการก็มืดตื้อ ฟืนไฟบ้านเราจะเอาที่ไหนสว่าง นอกจากดวงไต้แดงๆ ฉะนั้นทุกคนจึงมีสีหน้าไม่ค่อยดี บ้างก็เศร้าใจที่ตายแล้วก็ไม่ได้สวดกัน ดูคล้ายๆ รีบหามเอาไปทิ้ง บางคนที่มีสีหน้ากังวลนั้น เห็นจะมาจากเกรงภัยของไข้คราวนี้ที่ระบาดทั่วไป จึงหวั่นๆ ว่าจะมาถึงตัว

ส่วนผมไม่มีความกังวลตรงกับใคร กังวลก็แต่เรื่องผีเท่านั้น ตายกันมากผีก็อยู่ทั่วไป และที่ใกล้ที่สุดก็คือผีน้าอั๋น การตายที่รวดเร็วและไม่ขาดวันก็เป็นที่น่าสะดุ้งใจและสลดใจอยู่ เห็นๆ กันแล้วมาตายจากไป คนบ้านนอกอยู่ในวงแคบๆ ใครตายใครอยู่ก็รู้จักกันหมดทั้งบาง

สุนัขบ้านตรงข้ามคลองฟากโน้นหอนโจ๋ๆ สะท้านใจ ผมหันมองทางเรือนฝั่งคลองที่เสียงสุนัขหอน เห็นปิดประตูหน้าต่างเงียบ เขาคงไม่อยากจะสู้หน้ากับการมรณะในยามนี้ สุนัขก็มีโอกาสหอนตามใจมัน ไม่มีใครห้ามปราม

ผมก้าวขึ้นบันไดตามยายขึ้นไปบนเรือนด้วยความท้อแท้ประหวั่นกลัว เลยแอบนั่งรวมๆ กับคนแก่ๆ ที่ระเบียงไม่ยอมขึ้นบนห้องบน ให้ยายแกเข้าไปแต่คนเดียว เสียงญาติร้องไห้พลางรำพันความดีของน้าอั๋นระงมเยือกเย็น ไปทั้งบ้าน ผมหนาวใจอยู่แล้วเลยสะท้านขึ้นมาเลย เสียงยายร้องเรียกผมอยู่ในห้อง ผมจึงย่องหลีกคนไปลับๆ ล่อๆ ที่หน้าประตู

ยายบอกว่าไหว้น้าเขาเสียสิ ผมลังเลใจ แต่กลัวยายก็กลัว กลัวน้าอั๋นก็กลัว ทางดีที่สุดรีบยกมือไหว้เสียที่ประตูนั้นเอง ยายก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมรีบถอยกลับลงมาที่พื้นดิน พอพวกญาติที่แข็งแรงช่วยกันยกโลงศพลงบันได บนเรือนก็ร้องไห้กันโฮ

“เวรกรรมพ่อคุณเอ๋ย ไม่ได้สวดให้สักจบเดียว ตายแล้วก็ทิ้งไป” เสียงคนแก่คนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก นั่งพูดอยู่บนเรือนเสียงแหบแห้ง ผมหนาวเย็นจับใจขึ้นอีก ดวงอาทิตย์ต่ำลงมากจวนลับไม้ ทุกๆ คนหน้าขาวซีด เขากลัวตายแห่งไข้ แต่ผมกลัวทุกอย่าง

พอศพลงเรือ สุนัขบ้านตรงข้ามก็หอนขึ้นอีก เรือค่อยๆ เคลื่อนจากท่าแล้วแจวไปทางวัดอย่างเงียบๆ ไม่มีใครคุยกันเลย มีแต่เสียงแจวกระทบน้ำ และระลอกคลื่นที่คอเรือดังเบาๆ เรือผ่านบ้านใคร สุนัขบ้านนั้นก็หอนและบ้านนั้นก็งับประตูหน้าต่างจนสิ้น ผมมีความรู้สึกครึ่งเป็นครึ่งตาย หายใจอยู่หรือเปล่าไม่ได้สังเกต พวกเด็กๆ บนบกพอเห็นเรือศพต่างวิ่งหนีหลบไป เสียงชาวบ้านพึมพำบ่นถึงการตาย ยายแก่หนังเหี่ยวร้องขอความคุ้มครองต่อเทพเจ้าออกมาดังๆ

“เจ้าพ่อเจ้าแม่เอ๋ย จะรุกรานไปถึงไหน ตายก็มากแล้ว ผิดสิ่งใดก็ลงโทษไปพอแล้ว ขอกรุณาหยุดแต่เพียงนี้เถิดเจ้าข้า” ยายนั่นแกจะร้องขอโทษใครผมไม่รู้ ผมอยากร้องไห้ท่าเดียว คิดถึงบ้าน ถ้าผมขออยู่เฝ้าบ้านและอาศัยนอนกับน้าสมลูกชายยายอ่องก็ดีไปแล้ว ไม่ควรใจง่ายมากับเขา

เอ! ทําไมเรือหนักจริงเว้ย! ทิดน้อยพายหัวเรือร้องบ่น ความจริงน่าฉงน ทิดก่องแจวท้ายก็มิได้ละลด รวมทั้งทิดน้อยพายหัวก็ออกแรงกันเต็มที่ แต่เรือเหมือนไม่เขยื้อน พอขาดคำของทิดน้อย ตาเถิ่งจุ๊ปากห้าม คล้ายมีอะไรเป็นความลับที่ไม่ควรพูด ผมสงสัยนัก กระซิบถามพี่สอนว่าตาเถิ่งแกห้ามทิดน้อยทําไม

“ห้ามซิ” พี่สอนกระซิบตอบที่ใกล้หู

“คนตายจะมาวัด พวกที่ป่าช้าจะพากันมารับ หรืออาจจะนั่งมาในเรือเราด้วย เรือจึงหนัก” พอพี่สอนพูดดังนั้น ผมสะดุ้งทั้งตัว เหลือบตาไปดูทั่วเรือ มองไปข้างหน้าเห็นวัดไกลๆ อากาศชักจะมัวๆ ผมหูแว่วคล้ายว่าที่วัดมีปี่พาทย์มอญ เสียงตะโพนใหญ่ดังเท่งทึงๆ ลอยมาตามลมเบาๆ ทําให้นึกไปว่ามันเป็นเพลงเชิญศพที่กำลังจะไปถึง และป่านนี้ผู้ตายที่นอนในโลงมิกำลังลืมตา เงี่ยหูฟังอยู่ในโลงกระมัง? ยิ่งคิดไปก็ยิ่งหวาดกลัว สะท้านใจไม่มีสุขเลย

เรือได้เข้าจอดหน้าวัดตรงที่ดินงอกออกมาเป็นหาดในหน้าแล้ง คนในเรือต่างรีบจะขึ้นไปทำกิจการให้แล้วก่อนค่ำ การลุกขึ้นเก้กังกันนี่เอง ทำให้เรือแทบจะล่ม จึงเอะอะด่าทอกันกลุ่มไป ถ้าเรือล่มจริงๆ ศพจะลงน้ำ จะทำความทุลักทุเลให้อีกโขทีเดียว

วัดนี้ผมไม่เคยมา เพิ่งจะเหยียบย่างเป็นครั้งแรก หน้าวัดมีเลนงอกออกมาพ้นตลิ่งมาก แต่ได้แห้งเขินเป็นชายหาดไป ต้นหญ้าขึ้นเขียวดูดังสนามหญ้าน่ารื่นเย็น มองฝั่งตรงข้ามเป็นวัดร้างชื่อวัดโกโรโกโส ทิ้งร้างเหลือแต่หลวงพ่อนั่งตากฝนตากแดดโดยโบสถ์มีแต่ฝา ไม่มีหลังคา

หลังวัดโกโรโกโสเป็นทุ่งนาโล่ง เราหันหน้าเข้าวัดจะเห็นศาลาการเปรียญใหญ่อยู่ซ้ายมือเรา ศาลานี้อยู่แนวเดียวกับโบสถ์ที่อยู่ขวามือเรา ส่วนกุฏิพระทั้งหมดอยู่ลึกเลยศาลาและโบสถ์เข้าไป

เมื่อศพถูกหามขึ้นบกเดินเลาะชายหาดดินไปหน้าศาลาจะสู่ป่าช้า พวกญาติเดินตามร้องไห้ไปอย่างน่าระอาใจ ผมถูกใช้ให้เฝ้าเรือ นึกเหมาะแก่ใจแล้ว ถึงเปล่าเปลี่ยวก็ยังดีกว่าการตามศพเข้าสู่ป่าช้า สุนัขที่ศาลา การเปรียญและลานโบสถ์ได้หอนต้อนรับศพที่หามไป ผมยืนขนลุกไปทั้งตัว

พอศพลับมุมศาลาไปแล้ว ผมจึงทรุดตัวลงนั่งที่เนินหญ้า มองทอดตาไปทั่วๆ คลองนี้ช่างกระไร ยังไม่ทันค่ำก็ไม่เห็นมีเรือแพพายผ่านมาบ้างเลย บ้านสองหลังถัดวัดไปทางโน้นเงียบเหงาคล้ายไม่มีคน เป็นอันว่ายามนั้นไม่ มีคนเลยในที่ใกล้และไกล มองบนวัดก็มีบรรยากาศทึมของศาลาและไม้ใหญ่

ความมืดค่อยๆ คลานเข้ามาทุกขณะ ผมเกิดไม่สบายใจขึ้นเป็นลำดับ ชักจะอยู่คนเดียวไม่ได้ ครั้นจะตามเขาไปบ้างก็ห่วงเรือที่เขาให้เฝ้าไว้ ภาวนาขอให้เขารีบทำให้แล้วเร็วๆ จะได้กลับมา มันช่างเงียบน่าหวาดสะดุ้งเหลือประมาณ นอกจากเสียงน้ำไหลกระทบกิ่งไม้แห้งๆ ที่ปักไว้ข้างคลองและพงอ้อพงแขม ต้นไผ่ฝั่งตรงข้ามเบียดกันออดแอด พอเหลียวไปเจอะเรือที่มาก็ใจหายวูบ นั่นคือเรือศพ และศพเพิ่งขึ้นไปเมื่อกี้

ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ระฆังวัดก็ดังขึ้น เขาเรียกพระลงบังสุกุล เจ้าสุนัขหกเจ็ดตัวบนลานโบสถ์ก็หอนประสานระฆังขึ้นมา ความรู้สึกของผมซู่ซ่าไปหมด ผู้ใหญ่นะผู้ใหญ่ ช่างใจดำทิ้งผมไว้คนเดียวในสภาพเช่นนี้ ฮึ! เป็นไรเป็นกัน ทิ้งเรือละ ต้องตามไปรวมกับเขาให้ได้

ผมรีบก้าวเท้าไปทางที่เห็นเขาเดินกันเป็นหมู่เมื่อตอนแรก พอเข้าเขตศาลาใต้ถุนสูง ทั้งบนศาลาก็มืด ใต้ศาลาก็มืด ยืนชะงักอยู่แถวนั้นเอง มองไม่ออกว่าทางไหนเขาไปป่าช้ากัน จะหาเด็กวัดสักคนก็ไม่มี จะตามไปคนเดียวโดยไม่รู้เรื่องทางเข้าป่าช้านั้นยากยิ่ง ผู้ใหญ่เคยพูดว่าเวลาพลบค่ำนี่แล้ว เป็นเวลาที่พวกผีจะออกจากโลงจากหลุม ขึ้นมาบนพื้นดินเพื่อดัดแข้งดัดขาให้หายเมื่อยที่ต้องมาอัดอยู่ในโลงตลอดวันตลอดคืน

ยิ่งคิดใจยิ่งสั่นจะเป็นลม ตัดสินใจจะวิ่งกลับที่เก่า บนศาลามืดไม่กล้ามองขึ้นไป เกรงจะพบเอาใครเข้า เสียงตุ๊กแกร้องกระโชกขึ้น ผมสะดุ้งจนตัวลอย หัวใจแทบทะลักออกมาทางปาก อยู่เงียบๆ แล้วมาร้องกระโชกอย่างไม่รู้ตัว เสียงมันคล้ายคนแกล้งร้อง

ตั้งท่าจะวิ่งกลับที่เก่าให้พ้นศาลาโดยเร็ว ก็พอดีเห็นชายผู้หนึ่งเดินอุ้มอะไรแนบอกมา ดูว่าเขาจะไปทางป่าช้า ดีใจว่าจะได้อาศัยเขาเดินไปด้วย ชายนั้นเดินใกล้เข้ามา อากาศมืดสลัวไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ใจค่อยชื้นขึ้นที่พบคน พอเราต่างใกล้กันเข้ามาจนเห็นหน้ากันถนัด ก็รู้ว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าไม่ใช่พวกเราที่มาด้วยกัน เขาอาจจะเป็นคนบ้านนี้ สิ่งที่เขาอุ้มมาคือเด็กแดงๆ นั่นเอง นอนอยู่บนเบาะเล็กๆ

“ฝากเด็กเดี๋ยวเถอะวะหนู” ชายนั้นพูดอู้อี้และแหบแห้ง แต่ก็พอฟังรู้เรื่อง ผมนิ่งอยู่ไม่ตอบว่ากระไร ใจนึกอยู่ว่าอะไรกันพ่อเอ๋ย ฉันเองก็เอาตัวไม่รอดอยู่แล้วจะมารับฝากเด็กเข้าไว้ผูกคอฉันอีกละก็ตายแน่

เดี๋ยวฉันจะกลับแล้ว” ผมบอกกับเขาเพื่อบ่ายเบี่ยง

จะกลับเมื่อไรล่ะ?” เขาถาม

พอเขาฝังศพเสร็จก็กลับ” ผมว่า

“โอ๊ย! งั้นละก็อีกนาน ฝากเดี๋ยวเถอะวะอ้ายพ่อคุณ แม่มันไปฝังศพเขาจะเข้าไปตาม” เขาว่า

“ทำไมน้าไม่อุ้มไปเลยล่ะ ก็จะพบกันที่โน่น” ผมแย้ง

วัดโธ่! เด็กๆ เอาเข้าป่าช้าได้เรอะ” เขาแย้งด้วยเหตุผล ทำเอาผมเห็นจริง

“น้าอย่าไปช้านะ”

“เออน่ะ ข้าจะวิ่งไป”

เป็นอันว่าผมรับเอาเด็กนั้นไว้ โดยคิดแล้วว่าแม้จะเป็นเด็กเล็กๆ ก็ยัง ดีกว่าจะอยู่คนเดียว ไม่พูดอะไรอีกตรงเข้ารับเด็กเลย

ไปเร็วๆ นะ ถ้ามันร้องขึ้นฉันแย่เลย”

เออ” เขาตอบคำแล้วรีบวิ่งไปตามที่เขาบอกว่าจะรีบ

ผมรับเด็กแล้วก็กลับมาที่เนินหญ้า วางเบาะเด็กลง เพราะรู้สึกว่ามันอ้วนตัวหนัก พอนั่งพักหายใจเต้นยังไม่ได้สติดี เจ้าของฝากของผมก็เริ่มสำแดงเดชคือร้องแงขึ้น ผมต้องอุ้มและหลอกล้อปลอบโยนตามแกน แต่มันไม่ยอม จะอือจะเอออะไรมันไม่ฟังทั้งนั้น มันร้องดังจนแสบหู เจ้าเวร เจ้ากรรม ผมแลบลิ้นปลิ้นตาเล่นกับมันจะให้มันถูกอารมณ์ มันก็ไม่หยุด

ผมวางมันลงกับดิน แล้วขึ้นเต้นโขนอย่างกระฉับกระเฉง ความกลัวหายไปแล้วเวลานั้น โดนพ่อเจ้าประคุณแผลงฤทธิ์เสียเสียงก้องไปหมด จะโอ๋จะเอ๋ฉันไม่เอา อ้อนบัดซบ ถ้าไม่อ้อนก็น่าชมมันอ้วนท้วนดี แต่อ้อนเสียจนน่า โยนทิ้ง ลงท้ายผมชักฮึด มึงร้องได้ร้องไป ปล่อยมันนอนร้องให้สบาย

ในครู่นั้นเองเด็กเจ้ากรรมก็หยุดร้องไปเฉยๆ แล้วเปลี่ยนเป็นหัวเราะกิ๊กๆ ผมฉงนใจจึงก้มดู อากาศมันมืดลงจนมองแทบไม่เห็น จึงก้มลงใกล้มัน มันก็ชูมือไขว่คว้าหน้าผมในความมืดสลัว ทันใดนั้นผมก็ร้องขึ้นสุดเสียง อ้ายเด็กแดงๆ นั้นหน้าตามันเป็นผู้ใหญ่แก่ๆ หัวเราะฟันเต็มปาก แต่ฟันดําอย่างคนกินหมาก แล้วเสียงหัวเราะของเด็กๆ นั้นกลายเสียงเป็นหญิงแก่หัวเราะ ผมกลัวจนสุดขีด พุ่งหัวเข้าพงหญ้าเอาหน้าซ่อน แล้วเลยหมดสติไปเลย

ผมมารู้ตัวต่อเมื่อรู้สึกว่าหัวผมหนุนตักใครอยู่ ผมลืมตาก็รู้ว่าตักของยายนั่นเอง แกกำลังบี้พิมเสนใส่จมูกผม ไฟดวงไต้สว่างจ้า คนทั่วไปต่างถามผมว่าเป็นอะไร แต่ผมตอบไม่ออก ครั้นมาถึงบ้านแล้วผมล้มเจ็บเสียหลายวัน เผ้าผมร่วงจนหัวโกร๋น และก็พอดีกับกาฬโรคได้ยุติลง เหลือไว้แต่เหตุการณ์ต่างๆ ที่ใครจำได้ก็เล่าสู่กันฟังต่างๆ รายไป

เหม เวชกร

error: Content is protected !!