ปีศาจของไทย | ครูเหม เวชกร เรื่อง ขึ้นจากหลุม

… “คุณพระช่วย!” ผมผงะถอยหลังและร้องออกมาด้วยความตกใจ ศพกระดิกแขนได้จริงๆ

ขึ้นจากหลุม

แม้ว่าผมจะหายป่วยไข้แล้วจากโรคดีฝ่อก็ตาม แต่หัวใจยังคงมีวอกแวก หวาดเกรงหาเป็นปกติลงไม่ ผมต้องพักการเล่าเรียนเสียนาน ซึ่งผมเสียดายที่สุดในการศึกษา

พระอาทิตย์ต่ำลงค่อนฟ้า เสียงโซ่เรือลากพาดหัวบันไดท่าน้ำดังกราว ใครคงมาหาสักคนเป็นแน่ ผมเดินไปที่หน้าต่าง ผู้ที่มาคือพี่สอนนั่นเอง มีสีหน้ายิ้มอย่างตื่นเต้น และดูมีกิริยาหอบน้อยๆ

“ยายอยู่ไหมวะ คำ?” ตะโกนถามเสียงเหนื่อยๆ

“อยู่ ทำไมน่ะพี่สอน”

“มีเรื่องจะมาบอกเว้ย”

ผมตะโกนบอกยายว่าพี่สอนมา แล้วรีบไปเปิดประตูรับพี่สอน

“ยายจ๋า มีเรื่องแปลกพิลึกละ ฉันรีบมาบอก” พี่สอนเปิดปากแต่ยังมิทันจะนั่งลงเรียบร้อย

“เรื่องอะไรกันอีกล่ะ?” ยายเบิกตาถาม

“เรื่องน้าอั๋น”

พอออกชื่อน้าอั๋น ทั้งยายและผมผงะไปตามๆ กัน สำหรับผมใจเสียวปลาบ ชื่อนี้เป็นชื่อที่กลัวเสียเหลือเกิน แม้แต่ยายเองก็ดูๆ จะมีความรู้สึกอย่างผม

“ทำไม?” แกถามสั้นๆ

“มีเรื่องจ้ะยาย จะเล่าให้ฟัง” พี่สอนมีนิสัยปากพูดไป มือไม้ไม่ตบพื้นก็ตบเข่าผู้ฟัง

“หลวงน้าปั่นที่วัดนั่นแหละ ท่านว่าน้าอั๋นมาเข้าฝันท่าน ในฝันบอกว่าน้าอั๋นน่ะยังไม่ตาย เวลานี้ฟื้นอยู่ในหลุมแล้ว มาขอให้ท่านช่วยกันขุดเขาขึ้นจากดินเถิด หายใจแทบไม่ออกอยู่แล้ว แต่ขอให้ขุดเขาขึ้นตามเวลาที่กำหนดให้ คือให้เป็นเวลาเย็นจวนพลบค่ำ และขอให้ญาติพี่น้องไปรับกันทั่วหน้า เวลานี้ตาแกรีบบอกวงศ์ญาติทุกคน ฉันรีบมาบอกยาย”

ยายฟังพี่สอนพูดแล้วมีสีหน้าสงสัยสนเท่ห์ จะเชื่อก็ไม่ใช่ จะไม่เชื่อก็ไม่เชิง แต่ผมนั้นชักหนาวขึ้นมาอีก จะอย่างไรก็ตาม แม้จะรู้ว่าน้าอั๋นจะฟื้นกลับขึ้นมาเป็นคนอีกก็หาเกิดความยินดีไม่ เพราะใจมันแน่เสียแล้วว่าน้าอั๋นคือผีอย่างแน่นแฟ้น เมื่อตอนรู้ว่าตายก็กลัว ครั้นรู้ว่าจะฟื้นก็กลัวอีก จะเป็นไปได้อย่างไร คนตายแล้วลงหลุมไปแล้วตั้งหลายวันจะกลับฟื้น ถึงฟื้นขึ้นมาได้ผมก็ไม่กล้าจะพบหน้าแกได้

ยายนั้นนั่งนิ่งอึ้ง พี่สอนก็กล่าวสนับสนุนข่าวอยู่ไม่ขาดปาก อ้างว่าเรื่องอย่างนี้เคยมีอยู่บ่อยๆ ตามข่าว ตายแล้วฟื้นมีถมเถไป ตายไปตั้งเจ็ดวันฟื้นขึ้นมายังมี ยังเล่าว่าได้ไปพบกับญาติที่ตายไปแล้วที่เมืองผี

“จริงจ้ะยาย เขาว่ากันว่าคนที่ฟื้นกลับมาเล่าว่า เมื่อตอนไปมีพวกยมบาลมาจับตัวไป ครั้นถึงนายใหญ่มีการตรวจบัญชีกัน ก็ว่าคนนี้ยังไม่ถึงที่ตาย แต่ลูกสมุนจับตัวไปผิด หัวหน้ายมบาลจึงส่งตัวผู้นั้นกลับมา และยังมีชีวิตอยู่จนเดี๋ยวนี้ก็มีหลายคน”

“คุณปั่นแกจะฝันไปเองกระมังวะ” ยายแย้งอย่างไม่หนักแน่น

“จะจริงหรือไม่จริงฉันก็ไม่รู้ แต่พระท่านว่าท่านฝันอย่างนั้น ทั้งน้าอั๋นยังวอนให้ขุดขึ้น ถ้าไม่ขุดตามขอก็จะเข้าฝันรบกวนร่ำไป” พี่สอนพูดตาลุกตาชัน

“ว้า! กูสงสัยจริงว่ะ” ยายร้องอย่างไม่แน่ใจ “กูกลัวจะเป็นอ้ายเหลวกับอ้ายเปล่าเสียน่ะนะ”

“ฉันก็ไม่รู้ซี” พี่สอนพูดเบาลง “เขาให้มาตามฉันก็มา”

“แล้วตาเอ็งเขาจะให้ข้าไปเมื่อไหร่” ยายถาม

“ก็ไปพร้อมกันนี่แหละ ฉันมารับเลย”

เป็นเวลาบ่ายแล้ว เราจึงตกลงไปตามคำเรียกร้องที่ให้พร้อมวงศ์ญาติ จะขุดผีขึ้นมาอีกให้เหม็นเล่น ผมไม่สมัครใจก็ต้องทนไปอีกอย่างคราวก่อน เพราะมีเรื่องบังคับว่าต้องไป คือว่าอย่างหนึ่งห่างยายไม่ได้ อย่างสองไม่สมัครใจอยู่บ้านคนเดียวโดยไม่มีใครอยู่ด้วย มันฝืนใจไป แต่คิดไว้ว่าเวลาเขาขุดหลุมจะแอบบังหลังคนอยู่ห่างๆ จะไม่ยอมดูรูปร่างน้าอั๋นที่ใครๆ ก็เรียกว่าผีแล้ว

ครั้นมาพร้อมวงศ์ญาติกันแล้วที่บ้านน้าอั๋น พอเย็นมากๆ จึงต่างพากันตรงไปวัด พอถึงหน้าวัด ผมใจหาย ยังติดตาที่เคยถูกผีหลอกตรงหน้าวัดนั่น หากว่าเวลานี้ยังเป็นเวลาเย็นที่ยังมีแสงแดดจึงยังค่อยยังชั่ว หากเป็นเวลาพลบค่ำหรือกลางคืนก็ท่าจะหวั่นไหวอีก แต่ใจเชื่อว่าตรงนั้นคงมีปีศาจสิงอยู่เป็นแน่

ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ผู้เข้าฝันจะให้ขุด พวกญาติจึงไปรวมกันที่กุฏิหลวงน้าปั่น ทางหลวงน้าก็เตรียมจอบเสียมไว้พร้อมทั้งโคมไฟ พวกญาติคุยกันเป็นกลุ่มๆ บางคนมีสีหน้ายินดีที่ญาติจะกลับฟื้น แต่บางคนมีสีหน้าหนักใจอยู่บ้าง การสนทนาจึงต้องแยกกันเป็นกลุ่มๆ บางกลุ่มออกความเห็นว่า ผีจะหลอกให้ขุดละมากกว่า ตายมาแล้วได้เจ็ดวันพอดี ถ้าฟื้นจริงจะหายใจได้ทางใดเล่าที่ใต้ดิน ทำดีไปเถอะ เดี๋ยวพอขุดขึ้นมาพ่อโดดกอดคอใครเข้าจะว่าอย่างไร

ผมฟังแล้วออกหนาวติดหมัดขึ้นมาเลย ไม่มีความสบายใจตลอดเวลา หวาดหวามอยู่เรื่อย ตะวันยิ่งคล้อยต่ำลง หัวใจยิ่งจะมืดลงไปด้วย ระฆังวัดย่ำค่ำครางเยือก สุนัขเห่าหอนตามระเบียบของมัน ที่ชายวัดด้านโน้นเป็นเขตป่าช้า มีไม้ใหญ่ยืนต้นอยู่ระกะ อากาศแถวนั้นจึงมืดครื้มน่ากลัว

เวลานี้พวกญาติพร้อมใจกันจะไปขุดศพ แต่ดูยังกับสภาพจะไปฝัง ระฆังวัดดังระงมดังส่งวิญญาณ เวลาย่ำค่ำพวกผู้ใหญ่เคยพูดว่า เป็นเวลาที่ผีจะออกจากที่เก็บและหลุมฝัง คิดแล้วทำให้ใจกระวนกระวายยิ่งนัก

“ลงมือกันหรือยังหลวงพี่?” เสียงใครร้องถาม แล้วก็มีเสียงแซงถามกันขึ้นอีก แต่เป็นเสียงเต็มใจบ้างไม่เต็มใจบ้าง บางเสียงว่า “ขุดกลับเสียที นอนหลับอยู่หลายวันมาแล้ว หน้าตาจะเป็นอย่างไรบ้างป่านนี้” เสียงครั้งหลังนี่ไม่เป็นมงคลหูเลย รู้สึกเกลียดผู้พูดจริงๆ

บางคนทำท่าอยากจะไปขุดนัก อยากจะยุ่งกับของเหม็นของน่ากลัว ดูกล้าหาญอย่างคนบ้าแท้ๆ อยากรู้นักว่าถ้าเปิดฝาโลงขึ้นแล้ว ใครนะจะเป็นคนชะโงกหน้าดูในโลงว่าศพนี้จะฟื้นจริงหรือไม่

ครู่นั้นเองหลวงน้าปั่นก็เดินนำหน้าพวกญาติมุ่งตรงเข้าเขตป่าช้า เราเดินกันเป็นแถวสายยาว ที่หลุมดินยังพูนอยู่มาก เพราะเป็นศพใหม่ ป้ายชื่อปักไว้เด่น แสงสว่างยังพอมีอยู่บ้าง ยังไม่ถึงกับต้องจุดไฟ หลวงน้าปั่นบอกให้ลงมือขุดได้ พวกที่ใจกล้าแข็งก็ฉวยจอบเสียมลงมือกันทันที

เป็นเวลาชั่วครู่ เสียงคนขุดร้องว่าถึงแล้ว ผมบังหลังยายและญาติฝ่ายหญิงอยู่ห่างๆ ใจคอเต้นระส่ำระส่าย เจ้ากลิ่นศพอื่นที่ฝังตื้นๆ ส่งกลิ่นฉุยๆ ทำให้เกิดความกลัวขึ้นทันที เสียงผู้ทำการขุดโต้เถียงกันเองว่าควรขุดด้านโน้นก่อนด้านนี้ก่อน จะได้ยกโลงขึ้นสะดวก

ชั้นแรกผมไม่ตั้งใจจะอยากดู แต่ก็อดชะเง้อไม่ได้ เอามือยันไม้หลักอันหนึ่งเพื่อจะยันตัวให้สูงด้วยใจเต้นรัว อยากรู้ว่าโลงจะขึ้นพ้นดินแล้วหรือยัง มาสะดุ้งตัวเอาตอนที่นึกเฉลียวใจว่าตัวเองกำลังเอามือเท้ายันไม้อะไรอยู่ มันเป็นไม้ปักชื่อของผู้อยู่ใต้ดิน รีบหดมือแล้วโดดห่างด้วยความแขยงใจ

ไม่ช้านั้นเองโลงได้พ้นหลุมขึ้นมาจนเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้พวกที่มุงดูชักถอยห่างออกบ้าง ผมแอบดูตามช่องรักแร้เขา เห็นไม่มีใครกล้าเปิดโลง ยืนมองหน้าเกี่ยงกันในที

“ใครจะเปิดล่ะ?” หลวงน้าปั่นถามดังๆ แต่ไม่มีใครรับปากเลยสักคน ลงท้ายหลวงน้าปั่นกับพระอีกสององค์จึงช่วยกันงัดฝาโลง เสียงตะปูถอนดังแกร๊ก เสียงกระทุ้งดังตึงตัง มันยิ่งเร่งเร้าหัวใจนัก มันเป็นเสียงของการจะได้ผจญกับท่าทางของผู้นอนในนั้น เสียงดังแกร๊กใหญ่แล้วเสียงฝาโลงถูกหงายลงดินดังพลั่ก แสดงว่าฝาโลงเปิดออกหมดแล้ว เสียงคนเงียบดังถูกบังคับ ไม่มีใครพูดอะไรกันเลยแม้แต่จะออกความเห็น

กลิ่นเหม็นเน่าของศพได้พุ่งขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นน้ำอบไทยอย่างผะอืดผะอม ทุกคนอึดใจ ผมอัดใจแทบขาดใจตาย

“ทําไมเหม็นเล่าหลวงพี่ครับ? ถ้าจะเหลวเสียแล้ว” เสียงใครในจำนวนญาติร้องถามขึ้นมา

“นั่นน่ะซี” หลวงน้าปั่นตอบอย่างลังเล “หรือจะเหม็นเพราะอับ”

“ไม่เป็นการเสียแล้วพวกเรา” ตาแก่คนหนึ่งพูด “หลอกให้เขาขุดเล่นกระมัง ธรรมเนียมคนที่ฟื้นจะไม่เน่าเลย” พวกทั้งหมดมองหน้ากัน พูดไม่ออก ผมกอดเอวพี่สอนและยายแน่น ความกลัวได้เพิ่มขีดขึ้นสูงอีตอนกลิ่นกระจาย

อากาศมืดลง ตะเกียงแสงสว่างก็ไม่ค่อยสว่างนัก ต้นไม้ยืนต้นทะมึน จักจั่นเรไรไม่ร้องระงมตามที่น่าจะร้องในดงไม้ใหญ่ จึงเพิ่มความเงียบวังเวงขึ้น ลมพัดมาบ้างพอทำให้ใบไม้เคลื่อนตัว เกิดเสียงการเคลื่อนไหวคล้ายสิ่งอื่นเคลื่อนตัวในความมืด ทำให้หัวใจไม่เป็นปกติเลย ผมมีหัวใจเร่าร้อนอยู่ว่า ทำไมไม่กลับฝังเสียอีกเล่า เปิดโลงไว้เหม็นจะตาย

เกิดทุ่มเถียงกันระเบ็งเซ็งแซ่ไป บ้างโกรธ บ้างให้รีบฝัง บ้างให้รอไว้ก่อนให้หมดสงสัย เสียงที่ให้รอไว้ก่อนนี้ทำให้หัวใจผมจะคลั่งตาย เอาวิมานอะไรกัน และในบัดนั้นเองก็มีคนคนหนึ่งร้องขึ้นเสียงหลง

“ฟื้นแล้ว!”

ผมสะดุ้งทั้งตัว ใจแทบหยุดเต้น ทุกคนก็คงเหมือนผม และรู้สึกว่าเกิดอลวนกันยกใหญ่ ที่อยากเห็นอยากรู้ก็ฮึดกันเข้าไป ฝ่ายหญิงมีสีหน้าซีดตื่นเต้นใจ ใจผมไม่อยู่กับตัว เสียงคนเฮและพูดกันเอาศัพท์ไม่ได้ ผมชะเง้อคอลอดตามช่องว่างทอดตาไปที่ปากโลง คอยอยู่เพื่อจะรู้ว่าร่างที่ห่อผ้าขาวเน่าเปื่อยนั้นจะฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร กลิ่นเหม็นออกคลุ้งแสดงว่าเน่าเฟะ เหตุใดจะฟื้นได้ ครั้นจะแทรกคนเข้าไปดูก็ไม่กล้า

“เอ้า! พวกเราอุ้มเอาแต่ตัวไป เอาโลงทิ้งไว้วัด” หลวงน้าปั่นร้องสั่ง ผมใจเต้นรัว

“เอาผ้าขาวและตัดตราสังออกก่อนซิครับหลวงพี่ เอ! เหม็นได้อย่างไรนี่ คนก็ฟื้นแล้ว”

“คงจะเน่าแต่เพียงผิวหนังเท่านั้นเอง”

“ถ้าจะจริง”

“เอ้า! ตัดผ้าออก ตัดตราสังเลย”

นอกจากเสียงคนเหล่านี้ ก็มีเสียงคนแก่ๆ พูดว่า ขอบคุณพระยมที่ปล่อยน้าอั๋นกลับมาอีกอย่างปรานี บ้างรับขวัญ บ้างดีใจร้องไห้โฮ รวมทั้งเสียงต่างๆ และภาพที่เห็นทำให้หัวใจผมอลเวง ศพที่ถูกยกออกจากโลง วางลงที่เนินหญ้า ผู้คนที่ออแน่นค่อยๆ ห่างออกเนื่องจากกลิ่นแรง หรือมีความกลัวเจือปน ซึ่งรู้ๆ กันอยู่ว่านั่นคือศพ อดจะฉงนและหวาดหวั่นใจไม่ได้

ทุกๆ คนคงกำลังใจเต้น เพราะอีกประเดี๋ยวร่างกายที่เน่าเปื่อยนั้นจะลุกขึ้นมาได้ ผมได้มีโอกาสเห็นศพได้ถนัด ด้วยว่าคนที่มุงใกล้ถอยห่างออกไป ร่างนั้นอยู่ในถุงขาวห่อหุ้มตราสังมัดแน่น น้ำเหลืองเลือดหนองเลอะเทอะ

ใครสองสามคนผมไม่รู้จัก เอามีดตัดตราสังออกแล้วฉีกถุงผ้าขาวแสนเปรอะนั้นออก มองดูห่างๆ ใจคออดเสียวไม่ได้ ดึงผ้าขาวออกชั้นหนึ่งใจก็เต้นรัวตามไปด้วย เร่าร้อนวูบวาบหวั่นไหว ประดุจว่าถ้าถึงชั้นในคือร่างกายของผู้ตาย เมื่อนั้นหัวใจผมจะดับลง

ในครู่นั้นเอง ผ้าห่อชั้นในหลุดออก ร่างกายเน่าเฟะนอนอยู่อย่างคนตายธรรมดา ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นคืนชีวิตได้เลย มีเสียงถกเถียงของพวกญาติอีกพักหนึ่ง กลิ่นเหม็นก็อบอวลแทบจะทนไม่ได้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกพุ่งเข้าไปในลำคอ อึดใจไว้นานก็จะขาดใจ ครั้นจะระบายหายใจกลิ่นที่เข้าทางจมูก จะพ่นออกทางคอรู้สึกคอขม

ท่านพวกนี้จะขุดผีขึ้นมาทำไมกันหนอ เพียงแต่ฝันก็เชื่อกันได้ ขุดขึ้นมาแล้วก็เห็นอยู่แก่ตา ศพก็เป็นศพอย่างนั้น แต่เมื่อสักครู่ใครตะโกนว่าศพกระดิกตัวได้ ถึงกับแก้ห่อออก แล้วมานอนเฟะอยู่อย่างนี้

“คุณพระช่วย!” ผมผงะถอยหลังและร้องออกมาด้วยความตกใจ ศพกระดิกแขนได้จริงๆ คนที่ล้อมดูนิ่งงันอยู่กลับเอะอะกันเซ็งแซ่ ผมกลัวถึงกับขาสั่น แสงไฟส่องพอแลเห็นถนัด ศพกระดิกแขนทั้งสองข้าง แล้วกลอกหน้าช้าๆ กิริยาดังหุ่นยนต์ที่ชักด้วยใย

ความตกใจกลัวมิใช่จะเป็นแต่ผมคนเดียว ผู้ใหญ่บางคนถอยออก ผู้หญิงร้องกรี๊ด และแล้วต้องตัวชาแข็งเย็นวาบถึงสันหลัง เพราะเหล่าสุนัขพากันหอนต้อนรับการกระดิกตัวของศพ ทั้งพระและคฤหัสถ์ยืนดูอย่างงงๆ

ตาแก่สัปเหร่อคร่ำเครอะสองคนก้าวล้ำเข้าไป ตรงเข้ายกศพหัวท้าย วางลงบนฝาโลงที่งัดออก แล้วร้องชวนเพื่อนกันอีกหลายคนให้ช่วยหามไปศาลา เกิดเงียบอีกครั้งหนึ่ง เพราะไม่มีใครเต็มใจจะคลุกกับน้ำเหลืองที่เหม็นจนเวียนหัว แต่ก็มีคนแก่ๆ อีกสองสามคนที่คุ้นเคยกับศพเน่าเหม็น โดดเข้าช่วยหามขึ้นศาลา

พวกทั้งหมดก็เฮตามกันไปทั้งหมด แต่ไม่มีใครสมัครเดินหลัง เพราะเป็นความรู้ที่แน่ชัดทุกคนว่า ข้างหลังคือป่าช้าที่เต็มไปด้วยศพนับไม่ถ้วน ส่วนผมเลือกอยู่กลางขบวน เพราะจะล้ำหน้าไปก็จะใกล้ศพน้าอั๋นที่หามไป

คืนนั้นทั้งคืน พวกพระเกือบทั้งวัดพร้อมด้วยฆราวาสอยู่ยามตามไฟกันที่ศาลา องค์ใดมีวิธีที่จะแก้ไขศพให้ฟื้นเร็วก็แก้ไขไปตามเรื่อง เช่น เอากระดาษฟางมามากๆ ซับน้ำเหลือง เอาน้ำอบมาพรมดับกลิ่น หายาหอมชูกำลังมากรอกผู้ที่ฟื้นให้มีกำลัง แล้วมีการสวดต่ออายุกันเลย คนแก่พร่ำรับมิ่งชิงขวัญ ขอให้อายุยืนจนกว่าจะแก่เฒ่า

เจ็ดวันผ่านหลังไป แผลตามตัวของผู้ฟื้นจึงค่อยหายลงบ้าง เกือบจัดว่าเป็นคนธรรมดา นั่งลุกได้นานๆ อาหารก็เริ่มรับประทานได้บ้าง พวกญาติจึงรับกลับบ้าน และคิดกันไว้ว่าจะฉลองขวัญให้สาสมกับที่คืนร่างเป็นมนุษย์อีกดังเกิดใหม่ และบ้านที่กลับมาอยู่ก็เป็นบ้านที่เขาตายนั่นเอง ยายกับผมจะต้องอยู่จนเขาฉลองกันเรียบร้อย

จะเพราะอะไรก็แล้วแต่ ใจผมยังระแวงๆ แม้แต่จะทราบว่าเดี๋ยวนี้น้าอั๋นฟื้นคืนชีพเป็นคนเรานี่แล้ว แต่มันก็ยังแว่วๆ อยู่ว่าแกคือศพที่ตายแล้วเจ็ดวัน ขุดขึ้นมาก็เน่าเฟะ หากจะรักษาหายก็คงไม่ไว้ใจอยู่นั่นเอง ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาและมาอยู่บ้านยังไม่เคยสบตากันเลย นัยน์ตาแกบัดนี้เป็นนัยน์ตาอีกคู่หนึ่ง ซึ่งผิดไปจากแววตาน้าอั๋นแต่เก่าก่อน มีแววลึกและคมเฉือนหัวใจนัก

บางคราวคล้ายจะมองใครๆ โดยกิริยาแอบๆ มีเล่ห์กระเท่ห์ ผมสังเกตเสมอ และนึกเห็นว่านัยน์ตานั้นเป็นตาของผู้มีจิตคิดประทุษร้ายโดยแท้ และที่ใจสงสัยทำให้เกิดขยาดกลัวก็เพราะน้าอั๋นเคยรักผมดี แต่บัดนี้ไม่มีกิริยาหรือแววตาว่าจะรักผมเหมือนที่เขาเคยรักแต่เก่าก่อน ยิ่งกว่านั้นทำไม่รู้จักผม คล้ายๆ จะจำผมไม่ได้ หรือว่ายังไม่หมดความเจ็บไข้ ประสาทจะไม่คงเดิม ฟั่นเฟือนจำใครและเรื่องราวอะไรไม่ได้ แววตานั้นจึงไม่เป็นแววตาเดิม

และข้อสังเกตที่น่าสงสัยอีกข้อคือ อ้ายแว่น สุนัขเลี้ยงเก่าแก่มันไม่ยอมเข้าใกล้น้าอั๋น ทั้งๆ ที่มันเคยรักน้าอั๋นมาก ถ้าหน้ามันกับหน้าน้าอั๋นตรงกันเข้าเมื่อใด มันจะฮื่อเบาๆ และถอยหลัง

สำนักของน้าอั๋น พวกญาติได้จัดให้อยู่เรือนหลังหนึ่งไม่มีฝาเลย ดูคล้ายโรงโขน ครั้นจะให้อยู่รวมกับพวกญาติ ตัวคนเจ็บไม่ยอมจะอยู่ร่วม ขออยู่สันโดษ หากว่าจะมีบ้านอีกสักหลังซึ่งไม่ติดต่อกับใคร เขาคงจะขออยู่หลังนั้น แต่หากจนใจ เพราะเรือนทุกหลังมีคนอยู่เต็มหมด จะยึดเป็นสิทธิ์แต่ผู้เดียวได้ก็แต่เรือนแบบโรงโขนฝาไม่มีนั่นเอง

ผมเคยถูกใช้ให้นำอาหารไปให้น้าอั๋นโดยผู้เดียวตัวต่อตัวครั้งหนึ่ง เกิดอึกอักถึงกับบอกปฏิเสธอย่างแข็งแรง ไม่ยอมเด็ดขาดที่จะใกล้กรายน้าอั๋น นับแต่แกนั่งๆ นอนๆ เรือนโรงโขนมาก็หลายวัน ผมไม่เคยเข้าไปใกล้เลย มองแต่เพียงห่างๆ

คืนนั้นเกือบค่อนรุ่ง ห้องนอนของผมอยู่ทางด้านหนึ่งห่างเรือนโล่งนั้นเล็กน้อย ถ้าโผล่หน้าต่างก็เห็นภาพมนุษย์ครึ่งคนครึ่งผีได้ถนัดชัดเจน เมื่อผมปวดปัสสาวะลุกจากมุ้งโงนเงน อดที่จะมองจากช่องหน้าต่างออกไปไม่ได้ เพราะผมอยู่ในแง้มมืด อาจมองทางโน้นได้ข้างเดียว ที่น้าอั๋นนอนนั้นเขาจุดตะเกียงตามไฟไว้สว่างตลอดรุ่ง จึงมองเห็นร่างของแกได้ถนัด แปลกใจที่แกไม่ยักนอน แกนั่งอยู่บนที่นอนเงียบๆ มุ้งตลบขึ้นไม่เอาลง แสดงว่ายังไม่ได้นอนเลย แต่ผู้คนในบ้านนอนกันเงียบ

นับว่าในยามนั้นและบ้านนั้น มีมนุษย์ที่ยังไม่หลับคือผมกับน้าอั๋นเท่านั้น และทุกๆ สิ่งเงียบสงัดสงบนิ่ง แม้แต่เสียงจิ้งจกตุ๊กแกก็ไม่มี นานๆ มีเสียงไก่ขันอยู่ไกลๆ นึกใจคอไม่ค่อยดี นึกเสียใจตนเองที่เกิดมาปวดปัสสาวะในยามนี้ ถ้าหากน้าอั๋นเหลือบมาเห็นแล้วร้องเรียกให้ไปหาจะว่าอะไรกันนี่

นกกุ๊กร้องอยู่ยอดไม้ใกล้วังเวงน่ากลัว น้าอั๋นนั่งเฉยไม่กระดุกกระดิกคล้ายรูปปั้น นกแสกบินร้องข้ามหลังคาไป ผมสะดุ้งเสียวใจถึงกับทรุดนั่งลงพ้นหน้าต่าง แต่แล้วกลับคุมสติลุกขึ้นยืนเพราะจะเดินเข้ามุ้ง

ในชั่วระยะที่ผมขยับกายนั่นเอง ผมเหลียวหน้าไปดูทางน้าอั๋น มนุษย์ผู้น่ากลัวนั้นได้ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว บิดเนื้อบิดตัวอย่างเมื่อยขบ เหลียวซ้ายแลขวาเหมือนจะมองใคร ผมตกใจตาค้าง อย่างไรกันนี่ น้าอั๋นมนุษย์ครึ่งดีครึ่งเสีย ลุกยืนได้เมื่อไร แต่แรกหมอบอกว่าเส้นสายตายหมดถึงกับจะเป็นง่อย เนื่องจากถูกมัดด้วยตราสังและฝังดินถึงเจ็ดวัน ร่างกายจึงชากลายเป็นง่อยไป ปกตินับแต่กลับมาจากหลุมได้แต่นั่ง ยืนไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ แต่เวลานี้แกลุกขึ้นได้ในยามดึก หากจะนับว่าบุญกุศล เส้นสายเกิดมาหายอย่างรวดเร็วโดยไม่นึกไม่ฝันเช่นนี้ ก็น่าจะดีใจแก่ตัวแกเองและดีใจในวงศ์ญาติด้วย

ผมเกิดสะกิดใจขึ้นและขนลุกเกรียว ถ้าหากแกลุกขึ้นได้ด้วยเหตุอื่นล่ะ? นึกไปก็ใจสั่น ไม่เคยมองแกนานๆ เลย คราวนี้ต้องมองนานเพราะเกิดสงสัย และทั้งถือว่าตัวเป็นต่ออยู่ในที่มืดกว่า มองดูได้ข้างเดียว ข้อสงสัยแกจะทำอะไรต่อไป? แกยังยืนเฉยคล้ายไม่แน่ใจอะไรของแกเอง น้าอั๋นฟื้นมาคราวนี้มีอะไรผิดๆ ไปมากมาย มิใช่น้าอั๋นคนเดิม แต่เจ้าร่างกายของแกเท่านั้นที่แสดงว่าเป็นน้าอั๋น และหลุมที่ขุดขึ้นมาก็เป็นหลุมที่มีไม้ปักชื่อน้าอั๋นโดยถูกต้อง

จะเป็นเพราะผมคนเดียวหรือไรไม่ทราบได้ ที่ไม่ยอมคิดว่าร่างกายที่เห็นนั้นคือตัวน้าอั๋นจริงๆ เคยได้ยินผู้ใหญ่เล่าว่า มีคนตายไปแล้วสามคืน ศพไม่เน่า ญาติจึงเปิดฝาโลงไว้คอยให้หมดสงสัย และก็กลับฟื้นได้จริง แต่น้าอั๋นนี่เขาทั้งผูกทั้งมัดคลุมผ้า ใส่โลงดอกตะปูฝังดินตั้งเจ็ดวันแล้วกลับฟื้นขึ้นมาได้ ทำให้เป็นปัญหาว่าน้าอั๋นที่เห็นอยู่นี่เป็นมนุษย์หรือเป็น…

อ่านต่อ – ขึ้นจากหลุม ตอนที่ ๒ (จบ)

error: Content is protected !!