ปีศาจของไทย | ครูเหม เวชกร เรื่อง ขึ้นจากหลุม (ตอนที่ ๒)
ความเดิมก่อนหน้า – ขึ้นจากหลุม ตอนที่ ๑
น้าอั๋นบ่ายหน้าเดินไปยังห้องหนึ่งอย่างช้าๆ เหลียวหน้าซ้ายขวาและเข้าไปในห้องนั้น ทิดจุ่นลูกพี่ลูกน้องกันนอนอยู่ในห้องนั้น เสียงสุนัขใต้ถุนได้หอนขึ้น ผมตกใจหัวใจวูบเหมือนมันจะออกมาทางปาก ผมโผนเข้ามุ้งปลุกผู้ใหญ่ที่นอนด้วยกันอย่างกระหืดกระหอบ เจ้าประคุณเอ๋ย แกช่างขี้เซา กว่าจะรู้เรื่องราว เสียงอื้ออ้า อืดอาด ผมกลัวจะเสียเวลาจึงฉุดมือแกมาที่หน้าต่าง และชี้ให้แกดูไปยังที่นอนน้าอั๋น เอ๊ะ! อะไรกันนี่ น้าอั๋นคงนอนอยู่กับที่ดังเดิม เมื่อกี้แกลุกไปห้องโน้น ทำไมกลับมาเร็วนัก
“อะไรกัน?” ผู้ใหญ่นั้นกระซิบถามผม ดวงตาแกก็จับดูไปทางน้าอั๋นอย่างสงสัย ผู้ใหญ่คนนั้นคือทิดก๋อยนั่นเอง
“เมื่อกี้แกลุกเดินไปห้องทิดจุ่น” ผมบอกแกเสียงสั่นๆ และลังเลใจเป็นกำลัง
“ฮ้า! จะลุกได้อย่างไร คนเป็นง่อย” ทิดก๋อยดุและบ่ายหน้าจะเข้ามุ้ง
“โธ่ ฉันเห็นจริงๆ น้าก๋อย เดินไปได้จริงๆ”
“ถึงตาฝาดไปนะซี”
ผมหมดทางพูด ไม่มีอะไรจะพูดได้อีกนอกจากอึดอัดนึกงงงัน ชั่วเวลามาปลุกทิดก๋อยสองสามอึดใจ น้าอั๋นกลับมานอนเสียแล้ว ผมเลยกลายเป็นคนตาฝาด ให้ตายเถอะ เห็นกับตาจริงๆ คลานเข้ามุ้งตามทิดก๋อย ตั้งใจจะนอนต่อไป แต่ไม่หลับ ใจมันครุ่นคิดถึงภาพที่เห็นเมื่อกี้ หูคอยแว่วฟังเสียงอยู่ตลอดเวลา สักครู่ทิดก๋อยก็กรนต่อไป ตกลงในบ้านเวลานั้นมีคนที่ไม่หลับเพียงสองคน คือผมกับน้าอั๋น
ตอนรุ่งเช้า ไม่มีใครรู้เรื่องราวอะไรในยามดึกนั้นเลยทุกคน ต่างคนต่างมุ่งหน้าประกอบกิจของตนไป ผมนั้นเป็นคนคอยจับตาดูกิริยามนุษย์ครึ่งผี และคอยดูความผิดแผกของทิดจุ่น อยากรู้ว่าทิดจุ่นจะเป็นอะไรบ้าง ให้ตายซี ทิดจุ่นเป็นไข้ขึ้นตอนสาย และเป็นอย่างอาการหนัก ตาแดงก่ำดังสายเลือด พูดไม่เป็นภาษา
ตอนนี้เองทิดก๋อยหันมองดูผม และชักจะเชื่อเหตุการณ์ตอนดึกที่ผมเล่าให้ฟังขึ้นบ้าง และตกตอนบ่ายนั้นเอง ทิดจุ่นได้ตายลงโดยหมอปะทะไม่อยู่ มีการฝังกันอีก แต่ผมไม่เอาแล้ว เข็ดจนตายไม่ไปกับเขา คงอยู่บ้านกับคนอีกหลายคน
การโกลาหลได้เกิดขึ้นอีกอย่างหนัก อีกสองสามวันคนบ้านติดๆ กันได้ตายไปอีก ผู้หญิงสอง ผู้ชายสาม ยายผมขลาดต่อการไข้กว่าใครๆ แกรีบพาผมข้ามคลองไปอาศัยบ้านพรรคพวก เยื้องกันเล็กน้อยพอตะโกนกันถึง ครั้นจะกลับบ้านเสียเลยก็น่าเกลียด ด้วยเป็นยามกลียุค
อีกหลายคนในบ้านเริ่มระแวง และเพ่งเล็งถึงมนุษย์ครึ่งผีครึ่งคนขึ้นบ้างแล้ว แต่ทิดก๋อยนั้นเชื่อแน่เลย แอบกระซิบกับผมว่า “หะแรกกูไม่เชื่อมึงว่ะ” ทุกคนต่างตีห่างไม่กล้าจะมีใครเข้ากล้ำกรายน้าอั๋น มีแต่ตาซึ่งเป็นพ่อของน้าอั๋นเท่านั้นคงเข้าใกล้ชิดตามเคย
พอรุ่งขึ้นคนไข้อีกห้าคน หญิงสองชายสามที่เจ็บอยู่ก็ตายลง เกิดการตายในละแวกบ้านใกล้เคียงน้าอั๋น จึงร้อนถึงกำนันผู้ใหญ่บ้าน บังคับคนที่ยังไม่เจ็บให้ย้ายหนีไปโดยเร็ว พวกคนแก่กระซิบด่าแช่งชักหักกระดูกมนุษย์ครึ่งผีอย่างกระซิบกระซาบ ต่อมาการตายของย่านนั้นก็เพิ่มขึ้นอีก จึงต่างย้ายหนีกันไปหมด ปล่อยทิ้งมนุษย์ครึ่งผีแต่ผู้เดียวนอนแซ่ว
เกิดการทุ่มเถียงกันขึ้นในหมู่วงศ์ญาติอย่างขนาดหนักที่พวกย้ายหนีการตายจะเอาน้าอั๋นไปด้วย ไม่มีใครยอมรับรอง กระทั่งผู้หนีก็ไม่ยอมจะเอาไปด้วย ลุงเลยจนปัญญาต้องหนีไปแต่ตัว การอพยพได้เป็นไปอย่างบ้านแตกสาแหรกขาด ละล้าละลังห่วงหน้าห่วงหลัง
ญาติบางคนปลงอนิจจังน้าอั๋น สู้อุตส่าห์ขุดขึ้นมาพ้นความตาย เท่ากับเกิดใหม่ บัดนี้จะต้องมาถูกทอดทิ้งทั้งๆ ที่ยังเดินไม่ได้ แล้วใครจะหุงหาให้กิน เมื่อนึกดูน่าเวทนา การตายอย่างระเนระนาดเมื่อไปสงสัยน้าอั๋น มันก็แต่สงสัย ความจริงมันก็หาแน่ชัดลงไป เพราะน้าอั๋นนอนแซ่วอยู่กับที่ แต่คนอื่นเป็นไข้ตายกันไปเอง เมื่อจะลงโทษกันก็ยากจะเอาอะไรมาพิสูจน์
ลักษณะการณ์ของน้าอั๋นที่ลุกขึ้นเดินได้ในยามดึกน่ะซีเป็นประกันแน่ชัด แต่ก็มีผู้รู้เห็นเพียงผมคนเดียว ผู้ที่ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ยังลังเลใจ ทิ้งคนไข้ไว้ได้ลงคอ ยังนอนเจ็บและหายใจอยู่แท้ๆ จะทิ้งไปได้ก็ใจร้ายนัก ผู้ที่ห่วง มากที่สุดก็คือตา ผู้เป็นพ่อของน้าอั๋น ตัดสินใจว่าต้องอยู่เป็นเพื่อนน้าอั๋น ยายกับผมยังคงอาศัยอยู่บ้านตรงข้ามคลองตามเดิม เพื่อช่วยเหลือตาใหญ่เมื่อยามฉุกเฉิน
บ้านฝั่งเดียวกับบ้านน้าอั๋น พากันทิ้งบ้านไปหลายหลัง เลยกลายเป็นตำบลที่เปลี่ยววังเวงและเงียบอย่างน่าสยดสยอง ผมร้องไห้ด้วยความกลัวและกลัดกลุ้ม อยากจะกลับบ้านไปเสียให้พ้นแดนผีปีศาจที่ร้ายกาจ แต่ยายยังไม่ยอมกลับ อ้างว่ายามคับขันเช่นนี้ เป็นญาติกัน ถ้าไม่ห่วงกันก็รู้สึกเป็นคนใจดำที่สุด ผมถอนใจสะท้อน
ตอนพระอาทิตย์ตก พวกสุนัขเริ่มหอนกันเป็นหมวดเป็นหมู่ คำพูดของยายเมื่อตอนแรกก้องอยู่ในสมอง ว่าเสียงอย่างนี้เป็นเสียงสัญญาณแห่งมรณะ หัวใจผมแทบทะลัก
ผมมองไปที่บ้านมนุษย์ผี เห็นตัวเรือนดำมืดปราศจากแสงไฟ ไม้ใหญ่ยืนต้นอยู่ใกล้ บังแสงสว่างจนทำให้บริเวณนั้นมืดทึบ แสงอาทิตย์แดงฉานที่กำลังลับดิน ส่องแสงแดงฉานลอดตามช่องโหว่ของกิ่งไม้ดูน่ากลัว มันเป็นสัญลักษณ์แห่งเลือดแห่งความตาย
สุนัขไม่หยุดหอน ผมร้องไห้ขึ้นมาเฉยๆ เริ่มจะนึกห่วงตาใหญ่ สงสารแกที่ตัดสินใจอย่างกล้าหาญ ผจญอยู่กับอันตรายทั้งโรคร้ายและภูตผีปีศาจ บ้านนั้นนอกจากน้าอั๋นที่น่ากลัวแล้ว ยังมีการตายของทิดจุ่นบนบ้านนั้นอีก รวมทั้งการตายของคนอื่นบ้านหลังติดๆ กันรอบบ้าน
จนดวงตะวันลับโลกไปจนมืดมิด ก็มีเสียงโวยวายขึ้นที่บ้านน้าอั๋น เป็นเสียงผู้ชาย พวกสุนัขก็หอนประดังขึ้นจนฟังอะไรไม่ได้ศัพท์ เสียงนั้นเป็นเสียงที่เกิดจากความกลัว ยายและใครๆ ในบ้านที่อาศัยเขาพักอยู่ตกใจไปทุกคน ต่างวิ่งออกมานอกชาน จ้องมองฝ่าความมืดไปยังเสียงนั้น แต่ความมืดทำให้ไม่รู้ได้ว่าที่นั่นกำลังมีอะไรเกิดขึ้น
เสียงร้องนั้นดังแหวก เสียงหมาหอนดังข้ามคลองมายังเรา เป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ทุกคนตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำอย่างไร บ้านมหาภัยนั้นไม่มีใครกล้าจะเหยียบย่างเข้าไป และเสียงร้องนั้นชัดแน่ว่าเป็นเสียงตาแท้ๆ มันเกิดอะไรขึ้น! น้าอั๋นทำอะไรแก ทุกคนหน้าตื่นมือไม้สั่น ใครเล่าจะข้ามไปที่นั่น ได้แต่เพ่งตาแทบปะทุก็ไม่ทะลุเห็นภาพอะไรได้ มันดำมืดจริงๆ ผมใจคอพลุกพล่านจะเป็นลม หมาไม่หยุดหอน เรายืนกันที่นอกชานหลายคน แต่ไม่เกิดความอบอุ่นเลย
ไม่มีใครคาดคะเนได้ว่าป่านนี้ตาจะเป็นอย่างไร และเสียงร้องขอความช่วยเหลือได้เงียบไป คงยังอยู่แต่เสียงสุนัขทั้งเห่ากระโชกและหอน ทิดป๋อเจ้าของบ้านที่เราอาศัยฮึดฮัด
“ไปกันนะ ฉันนำหน้าเอง”
จึงเอะอะหาคบไฟและมีดไม้ทั่วตัวคน บ้างทำเสียงขึงขังปลุกใจตนเองให้กล้าแข็ง เพื่อจะข้ามไปบ้านมรณะ กระนั้นเสียงที่ทำขึงขังก็ยังมีสั่นแสยงเจือปน ผมเป็นเด็กไม่ต้องไปกับเขา อยู่กับพวกผู้หญิงและยายที่บ้านนี้ รวมชายได้หกคน ถือคบเพลิงและอาวุธครบมือลงเรือ พวกชาวบ้านใกล้เคียงทั้งสองฟากโผล่หน้าดูกันสลอน บางบ้านเอาเรือออกมาสมทบ
เดินขบวนขึ้นบนลานบ้าน แสงไฟสว่างไสว ผมมองดูอยู่ด้วยหัวใจระทึก อยากจะทราบว่าผลมันจะลงเอยประการใด พวกที่ไปทำเสียงให้คึกคักเอะอะจนฟังไม่ได้ศัพท์ คนเหล่านั้นแห่กันขึ้นเรือน แสงไฟที่ลานดินจึงมืดลง ผมรอฟังผลอยู่เกือบชั่วโมง พวกนั้นก็ลงเรือกลับ พวกเราที่บ้านพยายามเพ่งตาดูว่าตาแกกลับมาด้วยหรือเปล่า แต่ก็มองไม่ถนัด เพราะคนหลายคนบังกันหมด พอเรือเทียบฝั่งพวกเราก็เฮลงไปถามกัน
“ทิดไกรตายเสียแล้ว” เป็นเสียงร้องบอกจากพวกนั้น
“ใครตาย?” ยายผมร้องถามเสียงหลง
“ทิดไกร” ตอบสั้นๆ
พอขาดเสียงยายร้องไห้โฮ ทิดไกรคือตานั่นเอง พี่สอนก็ร้องไห้ประดังมาด้วย
พวกที่ข้ามไปเล่าให้ฟังอย่างกระหืดกระหอบว่า พอขึ้นไปบนเรือนก็พบตานอนตายอยู่แล้ว ตาปลิ้นโปนแบบถูกบีบคอ นอนหัวห้อยอยู่ที่นอกชาน ส่วนน้าอั๋นหายไปอย่างประหลาด บัดนี้แน่ใจกันแล้วว่า น้าอั๋นนั่นคือผี และเป็นผีใครอื่นที่เข้าสิงในร่างกายน้าอั๋นมา ความผิดคือพวกเราไปขุดเอาผีมาขึ้นบ้าน ความลังเลสงสัยในน้าอั๋นแดงขึ้นแล้ว ทุกคนอกสั่นขวัญหาย หน้าไม่มีสีเลือด
ในครู่หนึ่ง ชาวบ้านใกล้เคียงลงเรือข้ามมาอาศัยบ้านเรา กระซิบกระซาบกันเป็นกลุ่มๆ ที่ใครมีเครื่องรางดีแข็งใจกลับฝั่งเดิม มีใครคนหนึ่งเสียงครั่นๆ ด้วยฤทธิ์เหล้า “กูจะตามอ้ายอั๋น กูจะสับให้แหลก สาปมันลงนรกอย่าได้ผุดได้เกิด มันฆ่าพ่อมัน อ้ายสัตว์นรกมาเกิด”
เวลานี้ศพของตาได้เอานอนไว้ที่นั่นก่อน จนกว่าจะรุ่งเช้าจะได้จัดการเอาไปวัด กะไว้ว่าทุกคนจะไปทำบุญที่วัด ที่บ้านนั้นไม่มีใครสมัครใจไปทำบุญ จะต้องทิ้งร้างอย่างนั้นพลางๆ ก่อนตามที่ตกลงกันในหมู่ญาติ
รุ่งเช้า อีกหลายครอบครัวได้อพยพกันข้ามฟากมาอาศัยฟากนี้ ดูอุ่นหนาฝาคั่งดีสำหรับฝั่งเรา มีพวกผู้ใหญ่หลายคนข้ามไปเพื่อนำศพตาไปวัด กว่าจะขึ้นเรือนได้ ดูต่างเกี่ยงกันขึ้นก่อนขึ้นหลัง กว่าจะเอาศพไปวัดได้เกือบเที่ยงวัน พระอีกหลายองค์มาช่วยดูเป็นการโกลาหลนัก พระแก่ๆ องค์หนึ่งได้มาตามบ้านทุกบ้าน ผูกสายสิญจน์ลงเลขยันต์ป้องกันให้ พวกเด็กและผู้หญิงสวมมงคลและตะกรุดกันพรึดไปเลย
เมื่อฝังศพตาสำเร็จแล้ว กลับมาบ้านตอนเย็น ทุกบ้านรีบหาอาหารแต่ยังไม่ค่ำ รับประทานแล้วปิดบ้านก่อนพระอาทิตย์ตก ประตูหน้าต่างปิดเงียบ บ้านไหนหาใบหนาดได้ก็มาเผื่อแผ่กัน ปักรอบทุกช่องบ้าน พอพระอาทิตย์ตกเราก็เข้าเก็บตัวในห้องแน่นไปหมด ผมเที่ยวหาของอุดช่องโหว่ ตามร่องกระดาน บางคนแอบฝาสอดตาดูตามช่องโหว่ไปดูนอกบ้าน
คนบนบ้านเรามากมายน่าอุ่นใจ แต่สีหน้าทุกคนไม่พ้นเงาแห่งความหวาดกลัวและหนักอกหนักใจไปทุกคน จะหาใครยิ้มสักคนนั้นหายาก บางคนนั่งบ่นห่วงวัวควายและข้าวปลาที่ทิ้งไว้ทางบ้าน ทิ้งให้อยู่ในความคุ้มครองของพวกสุนัขประจำบ้าน ไม่ปลอดภัยเลย หากจะมีโจรและผู้ร้ายเกิดขึ้นและฉกชิงเอาไป บางคนหนักใจว่าวันข้างหน้าจะทำอย่างไรกัน จะทิ้งบ้านมารวมกันอยู่กระนี้หรือ ส่วนผมไม่มีอะไรจะหนักใจอย่างพวกเขา หนักใจอยู่แต่ว่าเมื่อไหร่ยายจะไปให้พ้นแดนนี้เท่านั้น เหลือจะทนทานอยู่ได้แล้ว
พอความมืดเต็มที่ หมาที่บ้านฝั่งโน้นก็หอนกันเกรียว พวกเราทุกคนหน้าซีดเผือด มองตากันปริบๆ ผมหนาวสะท้านถึงกับห่มผ้า แต่ก็อดจะแลลอดช่องฝาไปดูบ้านน้าอั๋นไม่ได้ สภาพบ้านนั้นเป็นไปอย่างเดิม มีความน่ากลัวประจำอยู่ ตัวเรือนดำมืดอยู่ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขา เสียงหอนของหมาดูเยือกเย็น ผ่อนยาวเหมือนจะหยุดแต่ก็กลับดังขึ้นอีกดังนี้ไม่รู้จบ ทอดแล้วทอดอีก
เวลาจะเข้าไปกี่ทุ่มผมไม่ทราบ ผมนอนแอบยายและพี่สอนแล้วก็หลับไป เหตุการณ์ตอนต่อไปจึงไม่ทราบอะไรอีกเลย จนกระทั่งเวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามดึก จึงได้ยินเสียงอะไรก้องมาเข้าหูสะดุ้งตกใจตื่น มันเป็นเสียงอะไรไม่แน่ชัดดังอยู่นอกเรือน กระเดียดไปข้างเสียงของคนตะโกนอย่างแหบแห้ง ฟังไม่ได้เนื้อความ เหมือนผู้อยู่นอกเรียนจะเรียกใครสักคนในเรือนนี้ แต่จะมีใครได้ยินหรือเปล่าผมไม่ทราบ เพราะในเรือนที่อยู่นั้นเงียบสงัด แสงไฟก็มืด นกหากินกลางคืนบินร้องผ่านไปแล้วก็บินร้องผ่านมาดูช่างพิกลนัก คล้ายมันจะบินมาเอาเรื่องอะไรที่นี่ หรือไม่ก็บินมาพร้อมกับเสียงใครที่ตะโกนอยู่ที่ลานดิน
นกชนิดนี้มีคนพูดว่า ถ้ามันบินข้ามหลังคาใคร หากบ้านนั้นมีคนนอนเจ็บอยู่ก็ตายเลย มิหมายถึงว่ามันมาบอกถึงความตาย แต่ที่บ้านนี้ไม่มีใครเจ็บอยู่เลย มิหมายถึงว่าบ้านนี้จะเกิดการตายอย่างบ้านโน้นเป็นตับๆ ไปอีกละหรือ ผมคิดแล้วสะดุ้งใจกลัวถึงตัวสั่น จะเกิดการตายกันอีกหรือนี่?
ผมเพิ่งรู้ว่าเสียงที่ดังนอกบ้านหาได้ยินแต่ผมคนเดียวไม่ ที่แท้ได้ยินกันทุกคน และได้ยินก่อนผมเสียอีก เพิ่งรู้ว่าเขาตื่นกันก่อนผม ใครคนหนึ่งไม่ทราบคลานไปจากที่นอน เข้าใจว่าจะไปแอบดูตามช่องโหว่ข้างฝา มาอีกประเดี๋ยวได้ยินใครลุกไปอีกคนหรือสองคน ผมสะกิดพี่สอนที่นอนติดกัน กระซิบว่า “เขาไปดูทำไมกัน ประเดี๋ยวถูกผีหลอก”
“บ้านเรามีใบหนาดปักอยู่ เข้ามาไม่ได้หรอก” พี่สอนกระซิบตอบ “มันจะเข้าบ้านเราไม่ได้ เราปักใบหนาดไว้ที่รั้วบ้าน มันก็ได้แต่ยืนอยู่ข้างนอกเท่านั้น”
“แหม! อยากดูมั่งจริง”
“ไปรึ?”
“ไปซิ”
ครั้นแล้วผมกับพี่สอนก็คลานไปด้วยกันที่ข้างฝาโหว่ กว่าตาจะชินกับความมืดข้างนอก ก็เพ่งกันเสียนาน ครั้นแล้วภาพต่างๆ ที่นอกเรือนก็ค่อยปรากฏ พอผมมองเห็นชัดก็ถึงกับโดดเข้ากอดพี่สอนด้วยความกลัว ที่ริมตลิ่งชายคลองตรงหัวสะพานน้ำ มีภาพของเจ้าของเสียงยืนอยู่ที่นั่น หัวใจผมเกือบไม่กล้าแข็งจะทนดูอยู่ได้ ไม่คิดเลยว่าเสียงที่ตะโกนอย่างแหบแห้งที่นอกบ้านนั้นจะเป็นเสียงพวกนี้เอง
เรือมาดลำใหญ่เห็นรัวๆ มีฝีพายหลายคน ทุกคนมองดูแทบไม่ได้ ร่างกายตายซากบ้าง ขึ้นอืดบ้าง ผมใจสั่นริกๆ กลางลำมีคนห่มผ้าคลุมตลอดตัวยืนนิ่ง ตั้งหน้าตรงขึ้นมาบนเรือน พวกฝีพายทุกร่างนั่งแข็งทื่อตั้งหน้าตรงไปตามลำคลอง เวลานี้เรือนั้นกำลังเทียบท่า คนที่ยืนกลางลำทำท่าจะก้าวขึ้นบกมา ผมสั่นไปทั้งตัว แต่ดวงตาคงจับภาพนั้นอยู่
“น้าอั๋น!!” ผมหลุดปากร้องออกมาอย่างตกใจ พี่สอนก็สะดุ้งรีบอุดปากผม น่าประหลาด อากาศก็มืด เหตุใดตาผมจึงเห็นพวกนั้นได้ชัดเจน ที่ผมตกใจเรียกชื่อน้าอั๋นออกไปนั้น รู้ว่าไม่ได้ดังเลย มันเป็นเสียงครางมากกว่า เพราะลิ้นไก่ผมก็จะแข็งอยู่แล้ว ปากคอสั่น ผมแทบร้องไห้เพราะไม่นึกว่าเสียงเจ้ากรรมของผมที่เรียกไปตะกี้นี้ จะดลบันดาลได้ยินไปถึงหูน้าอั๋นได้อย่างไร
“ใครเรียก?” เสียงถามขึ้นมาอย่างแหบแห้ง แต่ช่างชัดเข้าหูอย่างพิกล
ใจผมเหมือนฝัน แทบจะร้องตอบออกไปอยู่รอมร่อว่า “ฉันเองจ้ะน้า” แต่แล้วกลับยั้งได้ รู้สึกว่าแกมีอำนาจบังคับใจผม บัดนั้นเองร่างน้าอั๋นที่คลุมผ้ารุ่มร่ามก็ก้าวขึ้นท่าน้ำแล้วเดินอย่างช้าๆ แข็งๆ ตรงมาลานดิน เฉพาะตรงกับช่องโหว่ที่ผมแอบดู ดังแกรู้ว่าผมแอบดูแกอยู่ที่ช่องนั้น แล้วแกก็ถามขึ้นมาเสียงแว่วๆ แห้งแหบแต่เย็นเยือกเข้าหัวใจ
“ทองคำรึ?” ผมแทบสำลัก รู้ตัวว่าหัวใจจะทะลัก ตาพร่าประกายแล้วก็มืดวูบลง ไม่รู้อะไรอีกเลย
ผมฟื้นขึ้นตอนเช้า พี่สอนกับยายบอกว่าผมเป็นลมสลบไปเพราะความกลัวล้นหัวใจ และยายจะพาหนีตำบลนั้นกลับบ้าน พี่สอนขอหนีไปด้วย ไม่กล้าอยู่ ปล่อยให้ญาติฝ่ายชายซ่อนๆ อยู่แถวละแวกนั้นเพื่อดูแลทรัพย์สินบ้านช่อง เพราะการทิ้งบ้านไว้โดยต่างกลัวปิศาจ หากพวกโจรและผู้ร้ายที่ไม่กลัวก็จะพากันแห่มาขนไปหมดทั้งวัวควาย
ตอนสายนั้นเอง ยายกับผมและพี่สอนสามคนลงเรือเดินทางกลับ ผมอดจะเหลียวดูบ้านน้าอั๋นไม่ได้ รู้สึกว่ามันช่างมีอำนาจที่สุด เพียงแต่มองเท่านั้นใจหายวูบ ถัดจากการเดินทางหนีของเราสามคน ก็ยังมีอีกหลายกลุ่มที่เดินทางหนีถิ่นเดิมไปอยู่เสียให้ห่างและรวดเร็วก่อนเวลาพระอาทิตย์ตกดินมาถึง
เหม เวชกร