ปีศาจของไทย | ครูเหม เวชกร เรื่อง ศาลาทางเปลี่ยว

…มือที่มันยกชูนั้นโตใหญ่อย่างที่ไม่น่าจะเป็นได้ มือมันยาวเกือบติดเพดานศาลา ผมใจหายวูบ…

 

อีกครั้งหนึ่งที่นายทองคำได้เล่าชีวิตวัยเด็ก เป็นตอนต่อจาก “ไปฝังศพ” และ “ขึ้นจากหลุม”

เมื่อโรงเรียนหยุด ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวที่วัดนกกระจาบ ตำบลบางบาล ก็โดยว่าน้าทิมแกจะไปหาอาจารย์ของแก ซึ่งเป็นสมภารอยู่ที่วัดนั้น เพื่อจะไปเอาของดีอยู่ยงคงเหนียว

ยายผมรู้เข้าก็เลยฝากตัวผมไปด้วย ขอให้น้าทิมกราบไหว้ท่านอาจารย์ ขอของดีให้ผมบ้างสำหรับป้องกันตัว เพราะเกิดเป็นลูกผู้ชายจำเป็นจะต้องมีของดีไว้ประจำตัว มิเสียแรงเกิดเป็นคนเมืองหลวงเก่า เมืองซึ่งเต็มไปด้วยคนดีมีวิชา ถ้าไม่มีไว้บ้างจะกระไรอยู่ อาจารย์คร่ำๆ ขลังๆ มิใช่จะหมดไปเสียทีเดียวในอยุธยา

ท่านอาจารย์เป็นคนร่างสันทัด ผิวเนื้อสองสี มีสง่าราศีน่าเคารพบูชา มีอารมณ์เยือกเย็น พูดน้อย ชอบมองผู้ไปหาอย่างเงียบๆ และพิจารณาอย่างเบาๆ ท่านยิ้มอย่างขรึมๆ เราค้างที่วัดสองคืนเพราะต้องรอคอยของที่ท่านจะให้ ของรุ่นนั้นท่านจะต้องทำอีกเพื่อน้าทิมและผม รุ่งขึ้นวันที่สาม กว่าจะได้กลับก็ร่วมบ่าย ผมได้เชือกคาดเอวกันอสรพิษและเขี้ยวงาทั่วๆ ไป ส่วนน้าทิมได้ตะกรุดอะไรของแกไม่ทราบ จัดการอำลาแล้วก็ออกเดินทาง

หน้านี้แล้งจัด ลำน้ำย่านนั้นแห้งขอด ผู้คนข้ามฟากไม่ต้องอาศัยเรือเลย เดินข้ามกันในลำน้ำอย่างสบาย มีทางน้ำไหลเป็นสายๆ ลึกบ้างตื้นบ้าง พื้นท้องน้ำเป็นทรายละเอียด ทางน้ำไหลนั้นอย่างลึกก็แค่เข่า โดยมากมักจะเพียงท่วมหลังเท้าเท่านั้น

เป็นการอัตคัดน้ำสำหรับชาวบ้านบางนั้นอยู่มาก เวลาร้อนจัดจะอาบน้ำบ้าง ตอนไหนตื้นน้ำก็ร้อนดังน้ำต้ม ต้องบุกไปหาตอนน้ำลึกที่พอจะนั่งลงพอน้ำท่วมแค่ตัก แล้วใช้มือวักหรือขันตักรดเอาตามมีตามเกิด

เราทั้งสองคนเดินลงน้ำที่ร้อนจัดมาขึ้นอีกฝั่งหนึ่ง ขึ้นทางคลองแล้วออกสู่ทุ่ง ซึ่งขณะนั้นแดดยังจ้าไม่ลดลงเลย เรามุ่งหน้าตัดทุ่งตรงทิศพระนครศรีอยุธยา เพื่อสู่ตำบลหัวดุมเพื่อลงเรืออีกทอดหนึ่ง เบื้องหน้าเราเป็นทิวไม้เขียวแก่อยู่ขอบฟ้า และนั่นก็หมายเพียงครึ่งทางเท่านั้น จะต้องเลยทิวไม้นั้นไปอีกครึ่งจะเข้าเขตหัวดุม น่าท้อแท้ในความไกลและกลางแดดจ้าแทบจะกินเนื้อ เมื่อขามาก็นำกันมาทางนี้ พอขากลับรู้สึกถอนระอา

บุกบั่นมาด้วยความอ่อนเพลีย ก็มาถึงดงไม้เขียวที่เห็นแต่แรกออกเดิน ผมขอร้องให้น้าทิมหยุดพักที่นั่นก่อนชั่วคราวพอแก้ความอ่อนเพลีย ที่ตรงนั้นมีวัดร้างอยู่วัดหนึ่ง หักพังจนเกือบไม่มีซาก พงไม้รกรื้อ ตัวโบสถ์พังเค เหลือกำแพงผนังโบสถ์ที่พังไปบ้างอยู่สองด้าน องค์พระประธานนั่งอยู่กลางแจ้ง เรากลัวแดด อาศัยเงาไม้ใหญ่พักกายค่อนข้างนาน ต่อตะวันบ่ายแดดอ่อนจึงออกเดิน เหลียวดูบ้านกุ่มบางบาลอยู่เบื้องหลังไกลลิบ

เดินอย่างสบาย สายลมเย็น และมาค่ำเอาค่อนทาง พระอาทิตย์ลับดวง อากาศค่อยเย็นเข้า มีความชื่นบานมาลบล้างความเหี้ยมของแดด น้าทิมมีสีหน้าสงสารผมที่ว่าอุตส่าห์เดินไกลแสนไกลเท่าผู้ใหญ่ เบื้องหน้าเราอีกครึ่งเส้นมีศาลาใหญ่ฝาโล่ง ที่สำหรับพักคนเดินทาง ความเก่าของศาลานี้ประมาณไม่ถูก อาจจะหลายสิบปี

เราหารือกันว่าจะพักนอนกันที่ศาลาจะดีหรือไม่ ถ้าจะไปก็อีกไกลกว่าจะถึงหัวดุม ซ้ำร้ายค่ำคืนแล้วจะเอาเรือที่ไหนต่อไป ชาวบ้านนั้นไม่มีใครจะเดินทางกลางคืนด้วยเรือ เราก็ต้องไปนั่งหลับกันอยู่ริมตลิ่งนั่นเอง ถ้านอนเสียที่ศาลานี้ยังมีพื้นไม้กระดานให้นอน ดีกว่าจะไปนอนกลางดินที่หัวดุม พอเช้าขึ้นเราออกเดินก็สะดวกดีทุกประการ

พอเดินมาถึงศาลาก็พอดีมืด ต่างตกลงนอนค้างกันที่นั่น ศาลาใหญ่นี้โปร่งไม่มีฝา เป็นศาลายกพื้นสูงมาก เห็นทีว่าจุดมุ่งหมายผู้สร้างให้เป็นทานนั้น จะมีที่ให้ผู้สัญจรผูกม้าผูกโคใต้ถุนศาลาได้สบาย

น้าทิมไต่บันไดขึ้นไปก่อน ผมไต่ตามหลัง พื้นกระดานศาลาปูไว้ถี่ๆ ห่างๆ ไม่เรียบร้อย บางแห่งก็โหว่หายไป ถ้าเดินไม่ระวังขาอาจจะพลัดตกร่อง หลังคาบางตอนกระเบื้องผุแตกหลุด มองโปร่งถึงฟ้า เราถอดเสื้อ ผึ่งร่างกายที่เหนียวเหงื่อเพราะไม่ได้อาบน้ำ น้าทิมงัดเอาขนมแห้งๆ เช่นถั่วลิสงตัด ข้าวพอง ที่ติดย่ามออกมาแบ่งกันกิน พร้อมกับน้ำในกระบอกที่ยังเหลืออยู่บ้างจากตอนเดินทาง

กินไปเหลียวไปรอบด้าน มันช่างเงียบเหงาเหลือกำลัง มีแต่ทุ่งลิ่วไปในความมืด จะหามนุษย์สักชีวิตทำยาก็ทั้งยาก เห็นจะมีอยู่ก็เพียงน้าทิมกับผมเท่านั้น เรานั่งกันอยู่ประเดี๋ยว เดือนก็โผล่ขึ้นขอบทุ่ง สาดแสงระยิบระยับจับทิวไม้ มองเห็นภาพของท้องทุ่งได้ชัดตา

ศาลานี้แม้จะไม่มีฝามึดทึมก็ตาม แต่มันก็น่ากลัวตามสภาพของมัน ผมนั่งไม่ห่างกับน้าทิมเลย แหงนดูเพดานศาลามึดทึม เฉพาะตรงกระเบื้องหลุดเท่านั้นพอมีแสงสว่าง นึกๆ ดูน่ากลัวภูตผีที่ประจำท้องทุ่ง ของที่ผมได้จากพระท่านให้มา ก็เพียงป้องกันเขี้ยวงา หาได้ป้องกันผีไม่ แต่ตะกรุดของน้าทิมจะป้องกันอะไรบ้างผมไม่ทราบ

“แหม! ถ้าเอ็งไม่เตือนให้เอากระบอกน้ำมาด้วย ก็อดเลย” น้าทิมพูดในขณะยกกระบอกน้ำขึ้นดื่ม

“น้าลืมแล้วละซี ฉันไม่เตือนก็อดเท่านั้น” ผมว่า ปากคงเคี้ยวถั่วลิสงตัดอยู่

“ถ้าลืมน้ำ มันก็ต้องไปให้ถึงหัวดุม”

“โอ๊ย แย่เลย” ผมร้องขัดเพราะท้อทางเดิน พลางแหงนดูเพดานศาลาไปรอบๆ “แหม! ศาลานี้ฉันคนเดียวเห็นจะนอนไม่ได้ น่ากลัวจัง”

“ทำไมวะ มันจะมีอะไร เป็นข้า ข้าก็นอนสุโขไปเท่านั้น”

“ไม่ไหว”

น้าทิมหัวเราะขบขันความกลัวของผม แล้วเราต่างคนต่างนิ่งกันไป มันก็เกิดความเงียบดังเดิม นานๆ จะมีเสียงวัวบ้านไกลร้องบ้าง และสุนัขก็เห่าลอยมาตามลม ผมเอนกายลงนอนข้างๆ น้าทิม รู้สึกว่ามันไม่ค่อยสบายตัว เพราะตัวเหนียว และพื้นก็มีเสี้ยนคายหลัง แต่ก็เอามือปัดๆ นอนไปตามมีตามได้ เราทั้งสองเคลิ้มๆ จวนจะหลับ เนื่องจากการทรมานร่างกายเดินมา แม้แต่กลางดินก็เห็นจะนอนหลับได้แน่

ดูเหมือนจะมีเสียงคนมา น้าทิมกับผมสะดุ้งจากเคลิ้มพร้อมๆ กัน โงหัวขึ้นดูไปข้างล่าง เดือนสว่างมองเห็นได้ทั่ว เป็นความจริง มีคนมาแท้ๆ ไม่ใช่หูแว่ว เป็นคนคนเดียวเดินทางมา และหยุดยืนตัดสินใจว่าจะพักหรือไม่พัก ลังเลอยู่ข้างล่างสักครู่หนึ่งจึงก้าวขึ้นบันไดมา

พอขึ้นมาแล้วเขาก็รู้ว่ามีคนพักอยู่ก่อนแล้ว คือน้าทิมกับผม เขาหันมาดูเราหน่อยหนึ่ง แต่มันก็มืดมาก ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เพียงแต่รู้กันว่าบนศาลานี้มีคน เขาเดินเบาๆ ไปอีกมุมหนึ่งของศาลาอย่างเงียบๆ ศาลาพักสาธารณะเช่นนี้ ทุกคนมีสิทธิ์ จึงไม่มีใครจะทักใคร ต่างคนต่างพักตามชอบใจ

ผมรู้สึกว่าน้าทิมออกจะระแวงอ้ายหมอนั่นไปในทางคนร้ายฉกชิงวิ่งราวหรือย่องเบา พอหมอนั่นขึ้นมาบนศาลา น้าทิมก็ลุกขึ้นนั่งคุมเชิงทีเดียว ความจริงก็น่าหนักใจอย่างน้าทิมแก เพราะว่าหนทางเปลี่ยวเช่นนี้ จะมัวนอน หลับใหล ประเดี๋ยวพ่อก็ย่องมาหยิบอะไรไปหมด เหลือแต่กายเท่านั้นเอง หรือว่าศาลานี้เป็นที่หากินของพวกนี้ ใครเดินทางผ่านมาก็นอนพัก และผู้ที่มาพักทุกคนก็ล้วนแต่อ่อนแรงมาทั้งนั้น ลงนอนหลับเป็นตายเลย อย่าว่า แต่หยิบของนอกกายไปเลย แม้แต่กางเกงที่นุ่งอยู่ก็อาจจะค่อยๆ ถอดเอาไปได้

หมอนั่นหันข้างให้เรา เบิ่งหน้าดูไปข้างนอกทุ่ง ไม่เอาใจใส่กับเราเลย ผมเริ่มใจไม่ดี อย่างนี้นอกจากจะน่ากลัวผี ยังน่ากลัวโจรผู้ร้ายอีก แม้นว่าถูกเข้าจริงจะเรียกใครช่วยเล่า มองไปทางไหนก็มีแต่ทุ่งโล่งกับพงไม้ เรื่องมันก็ต้องคุ้มกันตัวเอง เวลาล่วงเลยไปหลายนาที เราต้องนั่งคุมเชิงอยู่ แม้จะแสนง่วงก็หลับตาลงไม่ได้

แต่ในครู่นั้นใจเราก็ค่อยยังชั่วขึ้น เพราะมีเสียงคนมาอีกข้างล่าง พอจะมีเพื่อนพึ่งพากันมิให้การโจรกรรมเกิดขึ้นง่ายๆ ผมชะเง้อคอมองลงไปข้างล่าง ทางเกวียนสายยาวขาวโพลนในแสงเดือน ร่างของใครยืนนิ่งอยู่ หันหน้ามองขึ้นมาบนศาลาอย่างลังเลคล้ายๆ กับคนแรก และในสองสามอึดใจนั้นเอง เขาคงตัดสินใจแน่แล้ว ไต่บันไดขึ้นมาบนศาลา กลอกหน้าดูทั่วๆ แล้วเดินพ้นบันไดมา

“ทิดสนรึนั่น?” เสียงหมอคนที่นั่งอยู่ก่อนร้องทัก

ผมประหลาดใจนัก บนศาลานี้มืด เรามองหน้ากันก็เห็นเพียงภาพดำๆ ทำไมมันมองเห็นกันและจำกันได้ ท่ามันจะนัดไว้เสียแน่แล้ว เราสองคนน่าจะแย่ หากมันเป็นผู้ร้าย มันก็รับมือน้าทิมอยู่ ตัวผมเป็นเด็ก จะช่วยอะไรน้าทิมได้ รังแต่มันจะวาดเอาตกใต้ถุนไปเท่านั้น

เจ้าคนอยู่ก่อนเรียกชื่อและถามไป เจ้าคนมาใหม่หันไปดูทางเสียง

“ใช่!” คนมาใหม่รับและย้อนถาม “นั่นทิดก้อนรึ?”

“เฮอะ ไปไหนมาล่ะนี่”

“ไปเมือง”

“บ๊ะ ฉันก็จะไปเมืองเหมือนกัน”

แล้วทั้งเก่าและใหม่ก็ไปนั่งรวมคุยกัน ต่างไม่เอาใจใส่เราทั้งคู่ ถามทุกข์สุขซึ่งกันและกัน ซึ่งเราไม่ฟังเป็นอารมณ์เพราะไม่ใช่เรื่องของเรา การแสดงตัวของเขาทั้งสองก็เป็นคนเดินทางธรรมดา จากการโต้ตอบว่าจะเดินทางไปเมือง และก็เช่นเดียวกับเราที่จะไปเมือง

เรื่องการสงสัยของผมยังไม่หยุด ทั้งการมาของมันและการทักกัน มันก็บอกอยู่อย่างชัดว่านัดหมายกันมา แม้แต่จะหาหนทางพูดกลบเกลื่อนพรางหูพรางตาเราสองคน เราก็ฟังออกว่าเสแสร้งแกล้งพูด มันต้องแอบเห็นเรามาพักที่นี่ แล้วมันทยอยกันมาทีละคน ดูท่าทีจะเล่นงานเราได้หรือไม่ได้ มันคงหากินมานานแล้ว เห็นหมูหลุดป่ามาเข้าเล้าเมื่อใดก็หวานมัน พอเราหลับ มันก็ฉวยไปเตียนเลย

น้าทิมต้องใจตรงกับผมแน่ แกคลำหาอะไรในย่ามหยุกหยิก และหยิบอะไรอันหนึ่งมาวางไว้ข้างตัว ผมจึงเอื้อมมือคลำ เพราะอยากรู้ ก็รู้ว่าสิ่งที่เอาออกจากย่ามนั้นก็คือมีดซุย ชั้นแรกเห็นข้างโน้นคนเดียวก็จงใจว่าจะสู้มือเปล่า พอเห็นมาสองคนจึงต้องเอามีดออกมา

ในเวลาชั่วครู่นั้นก็มีเสียงคนมาอีก ผมและน้าทิมก็ชะเง้อมอง และเจ้าคนมาใหม่นี้ก็มีกิริยาอย่างเดียวกับเจ้าสองคนแรก ทำลังเลใจแล้วก็ขึ้นมาบนศาลาแบบเดียวกัน เจ้าคนใหม่นี้นุ่งโสร่งตัวเดียวไม่มีอะไรอื่นอีกเลย ช่างเจ้ากรรมจริง พ่อเอ๋ย ทั้งเก่าและใหม่ มันร้องถามกันแบบเดียวกันอย่างเจ้าสองคนเก่า และก็ว่าจะไปเมืองเช่นกัน โสร่งตัวเดียวนั้นน่ะรึจะไปเมือง

อ่านต่อ – ศาลาทางเปลี่ยว ตอนที่ ๒ (จบ)

error: Content is protected !!