ไปจับจิ้งหรีด – เปิดกรุผีไทย โดย ครูเหม เวชกร

อีกตอนหนึ่งในเหตุการณ์ผจญกับปิศาจของ นายทองคำ เมื่อตอนลุงที่ตำบลท่าหลวงส่งทองคำเข้ามาฝากไว้กับญาติห่างๆ ในบางกอกเพื่อเรียนหนังสือต่อ และก็เรียนจบแล้วโดยสมบูรณ์ แต่ยังไม่มีงานทำ ได้จดบันทึกไว้อย่างละเอียด

ชีวิตของคนหนุ่มที่ไม่มีงานทำนี่มันช่างน่ารำคาญนัก ถ้าหากเป็นหนุ่มที่มีบิดามารดาและร่ำรวยก็จะเป็นไรไป งานก็ดูจะหาง่ายด้วยซ้ำไป ถึงไม่มีงานทำก็ยังอยู่ได้อย่างสบายๆ แต่สำหรับหนุ่มอย่างผมน่ะสิแย่ ผมอาศัยเขาอยู่เขานอนและอาศัยข้าวสุกเขาด้วย

จะเป็นหนุ่มที่ไม่น่ารำคาญอย่างไรได้ แต่อาศัยเจ้าบ้านที่รับฝากผมไว้จากลุงหมอ ท่าหลวง เขาชอบผม โดยผมทำตัวเป็นลูกผู้หญิง เข้าครัวหุงข้าวต้มแกง ตักน้ำ รีดผ้า แทนผู้หญิงได้ การอาศัยเขาอยู่จึงไม่มีการขุ่นมัวระคางใจจากเจ้าบ้านเลย

แต่เรื่องงานที่จะทำนี่สิครับยาก เพราะในสมัยนั้นไม่นิยมทำงานหน้าร้าน และทั้งห้างร้านก็มีน้อยแห่ง คนไทยทุกคนสมัครใจเป็นข้าราชการ ใครมีเส้นมีสายดีก็เข้ากระทรวงนั้นกระทรวงนี้ไปเลย แต่สำหรับผมนี้นึกดูถึงหลักธรรมดาก็แล้วกัน ลูกของเจ้าของบ้านที่เรียนมาพร้อมผม เขาย่อมต้องทำงานก่อน จะได้ช่วยเป็นกำลังแก่บิดามารดา แต่ผมผู้อาศัยจะไปเข้ากระทรวงพร้อมกันได้อย่างไร อีกประการเขาได้พึ่งงานของผมทางบ้าน ถ้าผมไปทำราชการเสีย เขาจะใช้ผมได้อย่างไรกัน เช้าก็ไป เย็นก็กลับ จะช่วยงานบ้านได้ก็ตอนเย็นตอนค่ำ ฉะนั้นการยังไม่มีงานทำของผม จึงไม่ใช่ของน่าแปลกแต่อย่างใด เพราะมันมีเหตุผลอยู่อย่างนี้

การแต่งกายก็เพียงกันไม่ให้ใครคิดว่าขอทานเท่านั้น เรื่องจะแต่งตัวเทียบกับเพื่อนฝูงบ้านใกล้เรือนเคียงอย่าได้คิดเลย ไม่มีโอกาสอย่างแน่นอน การเที่ยวเตร่มีบ้างบางคราว รีบทำอะไรเสร็จแล้วก็ไปได้ เจ้าบ้านพอให้สตางค์บ้างอย่างเด็ก กินข้าวแล้วก็ไปเที่ยวๆ ไม่ว่างานวัดงานปีอะไร เรื่องจะไปกินขนมหรือพิเศษนั้นไม่มีละ มีสตางค์ที่ให้อย่างเด็กไปเพียงค่าน้ำแข็งน้ำหวาน ผมจึงไม่สมัครใจไปเที่ยวไหน เพียงพูดคุยกันคบหาสมาคมกันแถวบ้านใกล้ บ้านอยู่แถวราชดำเนินก็ออกมานั่งเล่นเมื่อหมดงานแล้วที่เก้าอี้ใต้ต้นมะฮอกกานี ที่รัฐบาลตั้งเรียงรายไว้ให้ผู้สัญจรไปมา

ในตอนค่ำวันหนึ่ง พวกเราสามสี่คนที่จัดว่าเป็นพวกคลั่งภาพยนตร์ จะออกมาคุยกันที่เก้าอี้ราชดำเนิน ทั้งๆ ดูมาแล้ว ก็อดจะบรรยายคุณความดีของพวกพระเอกหนังไม่ได้ แต่เอ่ยถึงตัวผู้ร้ายแล้วเกลียดเข้ากระดูกดำ สมัยนั้นเป็นภาพยนตร์เงียบ มีแตรวงบรรเลง เวลาต่อยกันแตรจะทำเพลงเชิดหูดับตับแตก เรานิยมตัวนายโรงเอกเข้ากระดูก นึกเอาเป็นจริงเป็นจังว่าเขาต่อยกันจริงๆ จึงนิยมว่าเก่งสมเป็นลูกผู้ชาย

ในสมัยนั้นการชกการต่อยจะต้องยกให้นายเอ็ดดี้ โปโล เป็นพระเอกล่ำสันเป็นมะขามข้อเดียว สามารถต่อยชนะคนหกเจ็ดคนได้ เรื่องจะถูกผู้ร้ายต่อยสลบนั้นไม่มีเลยสำหรับพระเอก ถ้าเข้าตาจนก็คือผู้ร้ายแอบตีหัวข้างหลังเท่านั้นจึงจะฟูบ ส่วนนายฮูดกิมสันนั้นเป็นแผนกคาวบอย ต่อยเก่งมีเล่ห์เหลี่ยมดี ตอกเตอร์ลันผมยาวก็อีกผู้หนึ่ง เล่ห์เหลี่ยมการต่อสู้หลักแหลมนัก เป็นที่ถูกใจพวกเราในสมัยนั้นอย่างประทับใจ จะเป็นท่าทางการต่อยมวย หรือการต่อสู้ยูโดผสมกับมวยหมัด

เราพยายามจำกันนัก พระเอกในหนังท่าทางอย่างไร เราทำท่าได้เหมือนแทบทุกคน ใครยังทำไม่แนบเนียนก็ผลัดทำกันจนใกล้เคียง มีการฟิตตัวกันจนล่ำสันไปตามๆ กัน เวลาเล่าถึงว่า ตอนนั้นๆ นายดอกเตอร์ลันทำเล่ห์หลอกผู้ร้ายให้หลวมตัว แล้วใช้วิชายูโดเหวี่ยงเอาหงายไปคว่ำไป เรามักจะอุปโลกน์ใครเข้าสักคนเป็นผู้ร้าย แล้วเราก็เหวี่ยงล้มไปจริงๆ ซึ่งนับว่าทำได้เหมือนและว่องไว หากไม่ว่าคนที่ถูกอุปโลกน์เป็นผู้ร้ายนั้นจะจุกจะขัดจะยอกอย่างไร เพราะไปคิดเอาว่าผู้นั้นคือผู้ร้ายจริงๆ

ในจำนวนสมาคมของเรา ควรจะกล่าวถึงอีกคนคือ เด็กชายบุญช่วย นายคนนี้คือศิษย์ตัวฉกรรจ์ของดอกเตอร์ลันทีเดียว ยืนคุยๆ กันเผลอ นายบุญช่วยจะต้องใช้วิชาดอกเตอร์ข้อขาหรือจับเพื่อนรุ่นเดียวกันเหวี่ยงไปด้วยยูโดเสมอๆ

ศิษย์นายเอ็ดดี้และดอกเตอร์ผู้นี้ไม่สนใจการเรียนหนังสือเลย สอบตกเป็นประจํา ผู้ใหญ่ตามใจ มีเงินมีทองใช้สบาย หนีโรงเรียนบ่อย จนต้องถูกคัดออกมาอยู่บ้านและเข้าโรงเรียนตามโรงหนัง ในคืนนั้นการคุยของผมกับพวกเพื่อนรุ่นเดียวกันต้องชะงักลง เพราะศิษย์นายเอ็ดดี้ – ดอกเตอร์ลัน รุ่นจิ๋วตรงเข้ามายังบริษัทเรา โดยส่งเสียงมาก่อน

“แหมพี่คำ ออกมาไม่บอก” เขาพูดเมื่อมาร่วมวงแล้ว

“พี่คำออกมาข้างนอกเสียนี่ เมื่อกี้ฉันทุ่มอ้ายอัดลงไปแอ้งแม้งเลย” พูดแล้วหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ

“ทําไมล่ะ?” ผมถามเพราะกลัวเพื่อนรุ่นจิ๋วจะเก้อ เพราะแกโผล่มาก็นำเรื่องหมัดมวยมาคุยทีเดียว

“อ้ายอัดมันอวดดี มันจะผลักฉันลงน้ำที่คูสะพานนั่น ฉันเลยเอี้ยวตัว เหวี่ยงด้วยสะโพกลงน้ำเลย”

“ไม่ได้ เล่นกะใครไม่เล่น เล่นกับดอกเตอร์ลัน ไหวไม่ทันก็โดนดีเท่านั้น” เพื่อนรุ่นเดียวกับผมพูดสนับสนุน นายบุญช่วยยิ้มอย่างพอใจ ยืนกอดอก พยายามเบ่งกล้ามแขนให้ขึ้นนูนประกอบความเก่งกล้า แต่การเบ่งท่าทางเป็นไปไม่นาน คางคกตัวหนึ่งโดดไล่แมลงมาโดนหลังเท้านักต่อยเข้า นักต่อยตกใจก็กระโดดเหยงไป พวกเราฮากันครืนใหญ่ ราศีทางหมัดๆ มวยๆ หมดไป นายบุญช่วยก็เปลี่ยนเรื่องเป็นการจับจิ้งหรีด เพราะว่านอกจากภาพยนตร์แล้ว นายนักต่อยรุ่นจิ๋วนี้นิยมจิ้งหรีดนัก ที่เขาออกจากบ้านมานี้ ก็เอากระป๋องเล็กเตรียมมาจับจิ้งหรีดที่โดดอยู่โคนเสาไฟฟ้า

“จับมันทำไมวะ อ้ายจิ้งหรีดตัวเปี๊ยกๆ พรรค์นั้น” ผมว่า

“ไม่เห็นมันใหญ่สักตัวนี่พี่ อ้ายใหญ่ๆ อย่างที่เขากัดกันที่บ่อนน่ะ เขาไปจับกันที่ไหนนะ”

“โน่นแน่ะ ทุ่งพญาไทหรือทางรถไฟ ถึงจะตัวเบิ้มๆ”

“แหม อ้ายอย่างนั้นทำไงจะได้มันล่ะพี่ ?”

“ก็ไปจับเอาซีวะ”

“ไปไม่ถูกน่ะสิ พี่ไปจับกันไหมล่ะ ?”

“ขี้เกียจเดิน” พูดแล้วบิดขี้เกียจ

“ไปก็ไปนะ” นายแปลกผู้ซึ่งจัดว่าเป็นหนุ่มใหญ่กว่าพวกเราร่วมคุยกันอยู่ด้วย ออกปากเห็นดีตามเจ้าบุญช่วย “อยู่ก็ไม่ได้ทำอะไร ไปเดินเล่นกันเถอะน่าพ่อคำ”

ผมหยุดคิดชั่งใจอยู่สักครู่ เพราะอยากจะกลับเข้าไปดูหนังสืออีก แต่ขัดอ้อนวอนไม่ไหว ทั้งการเที่ยวอย่างนี้ก็ไม่เสียสตางค์ ผมถามวงคุยเราดูไม่มีใครไป มีเด็กอีกสองคนขอไปด้วย เราเลยได้พวกรวมเป็นห้าคน เครื่องอุปกรณ์การจับจิ้งหรีด นายแปลกเป็นผู้รู้และชำนาญจึงเป็นผู้จัดหาให้ครบถ้วน

เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆ จนถึงสะพานยมราช ต้นทางที่ประสงค์ไว้ จะจับตามทางรถไฟ แล้วจะโอบเข้าทุ่งพญาไท เมื่อมาแล้วก็จะเอากันอย่างเอกเลย พอเลี้ยวเข้าทางรถเท่านั้น เสียงร้องกันแซดไปหมด เจ้าช่วยครางออกมาอย่างตื่นเต้น รีบเตรียมจะจุดไต้

“เดี๋ยวเถอะวะ ไปลึกๆ อีกหน่อยถมเถไป” นายแปลกว่า

ข้างหน้าเรามีแสงไฟเป็นดวงๆ วอมแวมไปหมด มีพวกที่หาจับอยู่ก่อนเราหลายคน เราเดินลึกเข้าไปอีกสักสามเส้น พวกที่หาอยู่ก่อนก็หนีพวกเราไป เขาบ่ายหน้าลงท้องทุ่งเลย คงจะมีตัวโตๆ กว่าทางรถ

“เถอะน่า-ทางรถนี่แหละถมไป เขาไปกันหมดๆ เราหาสบายดี” นายแปลกว่า พวกเราจุดไต้ทุกคน ลงมือหาตามเสียงร้องราวๆ ห้านาที จับได้สองสามตัว ทุกคนจับได้จิ้งหรีด เว้นแต่บุญช่วยยังไม่ได้ มันหลุดไปหมด บ่นพึมเลย

“มันร้ายแฮะ โดดเร็วกว่าจิ้งหรีดตามเสาไฟฟ้ามาก” เจ้าช่วยว่า “นั่นมันจิ้งหรีดเล่นไฟนี้โว้ย ก็จับง่าย” ผมว่าแล้วหัวเราะ

“ย้ายที่เถอะน่ะ ที่นี่ชวยแฮะ หลุดเรื่อย เมื่อกี้ก็หลุดไปตัวเท่านิ้วก้อย”

“ชะช้า เจ้าเป็ด จิ้งหรีดอ้ายแอ้ดตัวเท่านิ้วก้อย” นายแปลกว่า “ไปเถอะ ไปก็ไป ข้างหน้าเสียงร้องโตๆ อยู่” นายแปลกพูดอะไรเราก็เชื่อ เพราะเขาชำนาญทางนี้

เวลาล่วงเลยไปกี่ทุ่มแล้วเราไม่รู้เลย เพราะไม่มีนาฬิกาจะดู เที่ยวค้นหาจิ้งหรีดกันอย่างสนุก ดวงไฟที่เห็นในทุ่งก็หมดไปแล้ว เขาคงไปทางอื่นหรือไม่ก็กลับกันไปหมด พวกเราไม่ได้มองดู เราเห็นมีไฟอยู่ดวงหนึ่งที่ตรงเสาข้างทางรถไฟ มีอักษรตัว “ว” อยู่ยอดเสา ซึ่งหมายถึงว่า ถ้ารถถึงตรงนั้นให้เปิดหวูดหรือหวีดทำนองนั้น

เดินผ่านมาเห็นเด็กชายคนหนึ่งกับผู้ใหญ่สองคน กำลังตะครุบกันอยู่ปุ้บปั้บ เราไม่เอาใจใส่เดินเลยไป จนกระทั่งถึงสะพานเล็กๆ ที่รถไฟข้ามร่องน้ำเล็กๆ ที่ท่าจะดี เราจึงหยุด ตั้งใจจะหาตรงนั้น กำลังเงี่ยหูฟังเสียงร้องของมัน

ก็พอดีได้ยินเสียงเด็กร้องด้วยความตกใจขึ้นทางเบื้องหลังที่เราผ่านมาแล้ว เราทั้งหมดตกใจเช่นกัน หันหน้าไปทางนั้นราวกับนัดกันไว้ เด็กน้อยวิ่งถือไต้ตรงมาหาเรา เปลวไต้ริบหรี่แทบดับเพราะความเร็วที่วิ่งมาสุดเหยียด พวกเรานิ่งอั้นเพราะไม่รู้ว่าเด็กวิ่งทำไมและตกใจหนีอะไร เด็กนั้นวิ่งมาถึงเราก็ล้มลงฟุบกอดขาผม ก้มหน้ามุดพูดไม่ออก

เหตุการณ์อันไม่นึกถึงได้เกิดขึ้นกระนี้ พวกเราทั้งหมดตะลึงงัน เราจำได้ว่าเด็กชายที่นั่งหาจิ้งหรีดอยู่กับผู้ใหญ่สองคนที่เสา “ว” ที่ผ่านมาตะกี้ นานพอใช้ที่ผมจะได้สติเขย่าปลุกเด็กที่ฟุบกอดขาอยู่ เด็กนั้นคงมีอาการสั่นเทากอดขาแน่น ผมค่อยๆ แกะแขนเด็กออกจากขาผม แล้วพวกเราก็นั่งล้อมรอบ แสงไต้สว่างโพลง

“เป็นอะไรวะหนู” นายแปลกถาม

“ผีหลอกครับ” มันตอบพร้อมกับค่อยหันไปดูทางที่วิ่งมาแล้ว

“ฮะ-ผีหลอกเชียวรึ” ผมถามแล้วหัวเราะ นายแปลกก็หัวเราะด้วย และแถมท้ายด้วยนายเอ็ดดี้หัวเราะตามอย่างแสดงความขบขัน แต่เด็กอีกสองคนไม่หัวเราะ และขยับตัวเบียดเข้ามา

“ผีที่ไหนกันเล่า” นายแปลกพูดแล้วหันไปทางที่เด็กบอก “ก็เรามากับผู้ใหญ่ไม่ใช่รึ?” ผมถาม

“เปล่าครับ ผมอยู่คนเดียว ชั้นแรกผมตามคนอื่นมา แล้วเขาเลยไปข้างหน้าแล้วหายไปหมด”

“ก็เมื่อกี้เห็นนั่งอยู่กับผู้ใหญ่นี่นะ” ผมว่า

“ไม่มีครับ ผมอยู่คนเดียว”

“มันหลอกยังไง ลองเล่าไปซิ” ผมถามแล้วหัวเราะ เพราะเรื่องผีๆ สางๆ ผมผจญมามาก คิดว่าเจ้าตัวเบี้ยกนี่ตาฝาด เพราะเด็กๆ มักจะเห็นอะไรเป็นผีไปหมด

“เอ นึกออกละแฮะ” นายแปลกว่า “พวกจับจิ้งหรีดน่ะแหละ เห็นเด็กมายุ่งก็เลยทำผีหลอกไล่ไปเสีย เพราะเด็กอยู่ทำจิ้งหรีดตื่นหมด”

“ถ้าจะใช่แน่” ผมว่า แล้วถามเล่นๆ ว่า “มันหลอกอีท่าไหนวะ?”

“มันไม่ได้ทํายังไงหรอกครับ ผมเงยหน้าก็เจอะเข้า”

“อ้าว! พอเจอะเข้าก็ว่าผีเลยเชียวหรือ ?” นายแปลกพูด

“หน้าตามันหัวกะโหลกนี่ครับ”

นายแปลกหัวเราะครืน เพราะรู้ว่ามันไม่มีอะไรมาก เพียงเอาหน้ากากมาสวมเข้า เด็กก็วิ่งไป แต่การเล่นอย่างนี้มันรุนแรงเป็นอันตรายกับเด็กมาก อาจจะถึงกับจับไข้เพราะดีฝ่อได้

“ไปดูกันที” นายแปลกว่า

“ไปก็ไป” ผมตอบและทำท่าจะไป เจ้าพวกเด็กของเราเก่าและเจ้าเด็กใหม่ชักอลวน เบียดเสียดกันยกใหญ่ เกาะหน้าเกาะหลังกันพะรุงพะรัง แทบจะเดินไม่ได้ มียกเว้นคนเดียวคือนายเอ็ดดี้ ยืนกอดอกท่าทางแบบเบ่งของเขาตามเคย และพูดว่า

“ไปก็ดี ถ้าพบว่าหลอกเด็กเล่น เอาไต้ทิ่มหน้าเลย” เขาพูดอย่างมั่นใจในวิชาครูเอ็ดดี้ของเขา

ในที่สุดเราได้มาถึงตรงต้นเสา “ว” ด้วยความลำบากที่พวกเด็กเกาะกันระนาว เพราะเหตุเกิดขึ้นมันห่างกันมาก ถ้ามีใครจะหลอกเด็กเล่นก็แอบหลบไปแล้ว ที่นั้นก็มีแต่ความว่างเปล่าและเงียบสงบ

“ถ้าพบตัว พี่คำตุ๊ยให้สลบเลย” ศิษย์นายเอ็ดดี้สนับสนุน “ฉันจะกอดขามันไว้ พี่ชกให้สบาย เอาให้อยู่หมัดเลย” มันเป็นลูกไม้ที่ดอกเตอร์ลันเคยใช้กับผู้ร้าย คือให้ลูกน้องไปหมอบอยู่หลังคนร้าย แล้วพระเอกชก ผู้ร้ายเซตั้งหลักไม่ได้ เพราะขาติด เลยถูกชกหมัดเดียวอยู่ เขาพูดแล้วดึงกางเกงขาสั้นให้ทะมัดทะแมงแบบคาวบอย เด็กอื่นไม่คิดจะสู้ ตาวาวไปตามกัน และเกาะผู้ใหญ่เราสองคน เจ้าช่วยยืนก๋า เตรียมเข้าสู่ยุทธภูมิ จนชวนหมั่นไส้ ผมนึกในใจว่าถ้าเป็นผีจริงขอให้หลอกให้เข็ด

“ไปเหอะ ไม่ได้ความ” นายแปลกว่าอย่างรำคาญเสียเวลา “เข้าทุ่งเลย เดี๋ยวก็ได้ตัวโตๆ สักสองสามตัวก็กลับได้”

พวกเราทั้งหมดเห็นด้วยก็ขยับจะเดินจากทางรถลงสู่ทุ่ง และกำลังหาทางข้ามลำคูข้างทางรถ แต่ศิษย์นายเอ็ดดี้ยังกล้าหาญไม่ตามเรามา ยังคงส่องไต้หาจิ้งหรีดอยู่ ทำให้เกิดความรำคาญใจแก่เราขึ้นอีก เราจะทิ้งไว้ได้อย่างไรคนเดียว พวกเราร้องเรียกให้รีบตามก็ทำเฉย เป็นนิสัยห่ามๆ แก้ไม่ตก

“อ้ายบ้า!” ผมโมโหเดือด แล้วชวนกันหาทางข้ามต่อไป “ให้มันโดนดีเสียบ้างจะได้เข็ด มีพิษเสมออ้ายนี่”

“อ้ายนี่ทำให้ห่วงเสียแล้ว บ้าบรรลัยเลย” นายแปลกชักเดือด เมื่อเราเดินห่างมาก็ไม่ยักตาม

“น่าเขกกบาลสักโป๊กหนึ่งหนักๆ” ผมพูดอย่างโกรธ “เสียเวลาจริง”

“ฉันเอง” นายแปลกว่า “เตะอ้ายเอ็ดดี้สักทีเถอะ” พูดแล้วจะเดินไปยังเจ้าเด็กอวดดี แต่ทันใดนั้นเองนายแปลกชะงักมองไป เราก็มองไปบ้าง เอ๊ะ! เราทั้งหมดสะดุ้ง เป็นสิ่งประหลาดนัก เจ้าช่วยที่กำลังหาจิ้งหรีดอย่างก้มหน้าก้มตานั้น บัดนี้เราเห็นใครอีกคนยืนอยู่ใกล้ๆ แต่เจ้าช่วยคงไม่เห็น มุ่งแต่จะเอาตัวจิ้งหรีดให้ได้

ภาพประหลาดนั้นกระทำให้เราเกิดขนลุก เพราะมันทันทีทันใดนี่เอง พวกเราค้นหาคนหมด ที่แถวนี้มีแต่ต้นหญ้ากอสั้นๆ เตี้ยๆ เพียงบังหลังเข้าให้มิดเท่านั้น แล้วเหตุใดเจ้าคนที่ยืนดูเจ้าช่วยนั้นมาจากไหน? จะมาได้เร็วอย่างไร ถ้าคิดว่ามาจากที่อื่น เรามีลูกตาถึงสิบสองดวงค้นหาจนทั่วด้วยแสงไต้หกดวง สว่างไปไกลมาก ใครจะมุดต้นหญ้าสูงแต่คืบบังตัวอยู่ได้

ขณะนั้นเองเราเห็นเจ้าช่วยเงยหน้าขึ้น และแล้วก็ร้องโวยวายเผ่นวิ่งมาทางเราดังเด็กคนแรก ผมถึงกับผงะถอยหลัง ความเชื่อตามเด็กที่เล่าให้ฟังชักแน่เสียแล้ว เจ้าช่วยมาล้มที่เราและหมดสติลง ผมบอกไม่ถูกว่าหัวใจมันเป็นอย่างไร มันวูบไปทั้งตัว รู้สึกตัวเบาหวิว แต่ใจของนักสู้ชักจะมีขึ้น “ผีรึ?” มึงเอากูมานักแล้วแต่เด็ก กูเอากะมึงละคราวนี้ หมาจนตรอกแล้ว ที่พึ่งคือตัวเองในยามเปลี่ยวอย่างนี้ คือเลือดร้อน ดุเดือด ทำใจให้เป็นบ้ากล้าแข็ง เห็นช้างเท่าหมู โดดออกจากที่วิ่งสวนไปยังที่นั้น ก้มฉวยก้อนหินเหวี่ยงกราดไป พร้อมกับด่าแช่งชักหักกระดูก ขว้างมันไปทุกทิศด้วยฤทธิ์มุทะลุ สุดแต่ความเร็วจะหยิบก้อนหินได้ทัน เหวี่ยงเป็นปืนกลไปเลย คืนนี้ถ้ามึงเป็นคน กูจะฉีกเนื้อมึงเสีย

ผมวิ่งตรงเข้าหาเสา “ว” นั้น พอใกล้ผมเตะลมเควี้ยวรอบตัวไป วันนี้ถ้ามึงเป็นผีมึงเอากูให้ตาย กูยอมแล้ว กลัวมึงมามากแล้ว ผมวิ่งห่างพวกและเตะต่อยลมอยู่คนเดียว พอใกล้เข้าไป ภาพนั้นก็ปรากฏขึ้นรางๆ มันเป็นศพห่ม ผ้าขาว หน้ามันเป็นซากศพเนื้อแห้งติดกะโหลก แต่ผมมีอารมณ์บ้าเสีย แล้วหยุดชะงักนิดหนึ่งเพียงให้แน่ว่าคนหรือผี ถ้าเป็นคนจะโดดล็อกทันที

การไม่หยุดยั้งของผมนั่นเอง อ้ายภาพอุบาทว์นั้นกลายเป็นนกสีขาวตัวเล็กนิดเดียวเกาะอยู่ที่เหล็กรางรถ ผมกวาดหินเสียพักเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปสิ้น กลายเป็นความเงียบและมืดที่สุด เพราะผมทิ้งไต้เสียนานมาแล้ว ชักยืนงง หันมองรอบๆ กาย ความว่างเปล่าทำให้เกิดลังเลใจ ผมผจญอยู่คนเดียว ไม่มีใครตามมาเลย คงกำลังตื่นเต้น

ผมตัดสินใจไม่ถูกว่าจะหันกลับไปหาพวกหรืออย่างไร การประจัญบานครั้งนี้มันแน่ยิ่งกว่าแน่ว่ามันคืออะไร ที่ลือกันนักว่าผีหลอกคนจับจิ้งหรีด มันแน่กับตาแล้ว นึกโกรธพวกข้างหลังว่าช่างกระไรหนอ นักเดินทางร่วมไม่มีหัวใจรวดเร็วและบ้าบิ่นเสียบ้าง เห็นแล้วว่าเราวิ่งมา ทำไมไม่ตามมาบ้าง

แต่ความโมโหของผมนี้มารู้ตัวคราวหลังว่าผิด เพราะทางโน้นมีนายแปลกคนเดียวที่เป็นผู้ใหญ่ นอกนั้นก็เป็นเด็ก ทั้งยังเกาะและร้องกันงอแงอีก เจ้าช่วยก็กำลังเข้าตรีทูต

เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเงียบไป เสียงจิ้งหรีดก็ร้องกันรอบไป เป็นอันว่า ผมยืนอยู่คนเดียวในที่วังเวง เหลียวดูพวกแสงไฟอยู่ห่างมาก ผมวิ่งมาด้วยโมโหจึงเร็วผิดธรรมดา ไกลกว่าจะตามได้เร็วทันใจ ขณะที่ยังคิดอะไรไม่ออก มีเสียงคล้ายคนผิวปาก…หวิว! แล้วก็มีผ้าขาวผืนใหญ่เหมือนถูกทิ้งมาจากอากาศ ลอยกางแฉลบมาตามลมทำท่าจะคลุมผม อาการบ้าก็เกิดขึ้น ผมทั้งเตะทั้งต่อย มันไม่มีอะไรเลย คล้ายผมเห็นไปเอง ผมไม่หยุดใช้กำลังซ้อมลม จนรู้สึกว่าแสงไฟสว่างจ้า จึงยั้งสติ พวกเรามาล้อมแน่น ผมพูดอะไรไม่ออก ก้มหน้าบอกว่า “กลับกันเถอะ”

อีตอนกลับนี้ชักรวนกันเป็นการใหญ่ ไม่มีใครอยู่หลังและก็ไม่มีใครอยู่หน้า ลงท้ายนายแปลกออกหน้าผมคุมหลัง จนออกมาที่ถนนมีผู้คนแล้ว ผมหายโมโหจึงเกิดความกลัวอย่างประหลาด คางสั้น พูดเล่าเรื่องให้นายแปลกฟังกระท่อนกระแท่นเต็มที แต่นายแปลกเชื่อว่าเป็นจริง เพราะมองเห็นเหตุการณ์อยู่กับตา กว่าจะเข้าบ้านนอน ระหว่างตรอกบ้านเอง เข้าตอนมืดก็อดเสียวไม่ได้ เรื่องนี้ผมเงียบ ไม่พูดให้ใครฟังเลย เจ้าบุญช่วยก็เงียบ กลัวพ่อแม่จะด่าเอา ส่วนผมเป็นผู้ใหญ่กว่า นำเด็กไปโดนมาอย่างนี้ ผู้ปกครองต้องเล่นงานผมแน่

เหม เวชกร

error: Content is protected !!