[เปิดกรุผีไทย] โดย เหม เวชกร เรื่อง ผ้าป่าผีตาย
เรื่องนี้ได้บันทึกจากปากคำของนายแม้น ผู้มีอายุเข้าเขตวัยชราเล่าให้ฟัง
ผมก้าวขึ้นบันไดบ้านปู่ที่มีทรงแบบเก่าปนใหม่ ที่ว่าแบบเก่าบ่นใหม่นี้ ก็เพราะว่าบ้านหลังนี้เป็นแบบผสม แต่ไม่ผสมโดยตั้งใจไว้แต่แรกเริ่มปลูก มาผสมเอาตอนหลัง เช่นหลังแรกปลูกผสมขึ้นอีกหลังโดยแบบฝาลูกฟัก ต่อมาชั้นลูกได้ปลูกต่อเชื่อมต่อเรือนเก่า แต่เรือนใหม่ที่ปลูกนี้ ปลูกแบบอะไรก็ไม่แน่ เป็นแบบตามใจ จัดว่ามีหลังคา มีฝาพออยู่ได้ มีนอกชานเชื่อมกัน พอต่อมาชั้นลูกเกิดมีหลานขึ้น มีความคับแคบบังคับเข้า ก็ปลูกอีกสองหลังต่อกัน เลยล้อมหลังเก่าทีเดียวไว้กลาง เลยดูว่าไม่รู้จะเป็นแบบอะไร ดูเป็นกลุ่มดาวล้อมเดือน มีชานติดต่อกันหมด หลายช่อง หลายเลี้ยว มองดูข้างนอกแล้วจึงไม่รู้ว่าทรงอะไรกันแน่ มองเป็นกระจุก
แต่ว่าพลบ้านมากมายพอดู ทั้งชั้นลูกชั้นหลาน บ้านนี้ก็เลยเกิดเป็นบ้านที่หนักไปในทางทอดผ้าป่าสามัคคี เพราะลูกหลานมาก สามัคคีกันคนละไม้ละมือก็เป็นองค์ผ้าป่าได้ทุกปี และก่อนจะทอดในวันรุ่งขึ้น ก็มีการฉลองกันก่อนคืนหนึ่งเสมอมา ยิ่งต่อมาปีหลังๆ พวกบ้านใกล้เรือนเคียงและห่างออกไปก็ร่วมมือศรัทธาด้วย เลยครึกครื้นเป็นการใหญ่
วันนี้ผมก็เป็นผู้ร่วมบุญด้วย จึงนำเงินและผลไม้มาร่วมที่บ้านปู่อ่ำ แต่มาค่ำไปหน่อยเพราะมีธุระ ถ้าไม่ติดธุระก็มาแต่เย็นแล้ว เรื่องเดินค่ำๆ ในละแวกนี้ ออกจะมืดและเปลี่ยว ผมไม่รู้จักทางเดินของสวนมะลิ ดีที่มีหลายทาง ที่มาจากทางวัดเทพศิรินทร์ก็ได้ ทางวัดโคก (วัดพลับพลาไชย) ก็ได้
ผมเคยถนัดเดินแต่ทางวัดจางวางดิษฐ์ จางวางพวงเท่านั้น ทางนี้น่ะซีคุณเอ๋ย เวลาค่ำคืนในสมัย ๕๐ ปีมาแล้วไม่ไหวทีเดียว ทั้งเงียบและมืด เป็นวัดที่มีการเผาศพได้แหละคุณ มันก็ต้องมีป่าช้า ถ้ามาคนเดียวกลางคืนไม่ค่อยสมัครใจ กว่าจะพ้นวัดแล้วเข้าสู่ทางเดินตำบลสวนมะลิ ใจคอไม่สบาย แต่วันผ้าป่าของตระกูลนี้ ผมจะขาดก็ใช่ที่ เพราะต่างคนต่างมาร่วม ใครมีมหรสพใดๆ ที่พอจะมี ก็นำมาแสดงฉลองกัน นับแต่ดนตรีตีเกราะวง เป่าปี๊บเป็นเพลงลิเกสมัครเล่นธรรมดา ลิเกลำตัด ส่วนผมมีวิชาชอบไปทางแหล่เทศน์
ในวันที่ผมก้าวขึ้นบันไดบ้าน จึงไม่ต้องพูดกันละว่าบนบ้านมีคนเท่าใด และมีเสียงอึกทึกเท่าใด เพราะว่าทั้งผู้ศรัทธาบริจาคแท้ๆ และทั้งผู้ศรัทธาบริจาคเงิน และตัวเองเป็นตัวมหรสพด้วย จึงมากมายเอาการ ถ้าบ้านธรรมดาเห็นจะบรรทุกคนไม่ไหว แต่บ้านนี้มีที่ให้พลบ้านนั่งและเฮฮาได้เพียงพอ มีหลายซอกหลายมุมที่จะให้คนเลือกจับกลุ่มเอา
คืนนั้นมหรสพต่างๆ ได้แสดงกันพอหอมปากหอมคอคนละชนิดสลับกันไป พอเขาแสดงกันหมดพุงก็หยุด ให้คณะอื่นขึ้นมาบ้าง สลับกันไปไม่รู้จบ แต่มีอยู่คณะหนึ่ง คือนายใย นายกี่นั้นเขาชอบมวย แต่ก็หาควรจะมาแสดงบนบ้าน ที่ถูกควรไปแสดงที่วัดในวันรุ่งขึ้น แต่แกก็อยากแสดงเสียจริงๆ ถึงกับกราบไหว้ใครต่อใคร หยักรั้งผ้านุ่งขึ้นไปตั้งท่ามวย ทั้งนายกี่ นายใย พรรคพวกก็เอาปากทําปีทํากลอง โฮ้ย คุณเอ๋ย! หนวกหูสิ้นดี บ้านมันพื้นไม้นี่คุณ โดนเต้นมวยเข้าหูจะแตก เฉพาะปี่ชวานั้น ชั้นแรกก็เสียงเดียว ตอนทําเพลงสะระหม่าให้ร่ายรำ แต่ตอนเข้าพันตูซิคุณเอ๋ย มีเสียงปี่ตั้งสิบเลาเห็นจะได้ เพราะง่ายมาก ไม่ต้องเป็นเสียงปี่ละ ใช้เนื้อความทีเดียว “ได้ทีทำไมถึงไม่ทํา ติ๋แลติ๋แต้ แตติ๋แตตะแล่แต” เสียงกลองก็เปลี่ยนเป็น “ได้ที-แต่ยังไม่ทำ เอ้า-จ้ำให้ตูดจ้ำเบ้า เอ้า-จ้ำให้ตูดจ้ำเบ้า”
ชุดนี้ไม่ค่อยนานนัก ทั้งปี่ทั้งกลองก็หมดแรงไปพร้อมๆ กับนักมวย พวกปี่พวกกลองปากจะเป็นตะคริว พวกนักมวยเหนื่อยเข้าขอนั่งลงกินเหล้าก็เลยเงียบกันไป บทสรุปจึงมาลงเอาผมละซี แหล่ต่างๆ ผมว่าเสียคอแหบแห้ง เลยไม่ไหวเหมือนกัน ถึงต้องหยุดตั้งวงกินข้าวต้มกัน ในระหว่างที่นั่งกินข้าวต้มกันนั้น ปู่อ่ำนั่งรวมอยู่ด้วย ผมก็ถามแกขึ้นว่า
“ผ้าป่าผีตายนี่นะ ยังไงกันจ๊ะปู่”
“ผ้าป่าผีตาย มันอีกอย่างหนึ่ง สนุกกว่านี้” แกว่าและหยุดคุ้ยข้าวต้ม
“สนุกไงจ๊ะ?” ผมถามโดยอยากรู้เพิ่มเติมไว้ โดยได้ยินใครต่อใครเล่นกันมาหลายวิธี
“โอ๊ย! ผีตายจริงๆ ก็มี ผีปั้นด้วยดิน ผีผูกฟ่อนหญ้าเอากระดาษปิดหุ้มก็มี เอาคนทำเป็นผีตายก็มี” แกว่าไว้หลายวิธี
“ปู่ช่วยเล่าชนิดผีตายจริงๆ ทีเถอะจ้ะปู่!” ผมอยากฟังที่สุด วางชามข้าวต้มแล้วลงกราบแก
“อ๋อ ผีตายน่ะ ไม่ได้ทำกันอย่างเราทำนี่หรอก” แกว่า “เขาทำกันเงียบๆ ปิดบังไม่ให้ใครรู้ เขาล้อพระเล่นอย่างหยอกๆ ล้อๆ” ปู่อ่ำอิ่มข้าวต้มคุย “พอตกค่ำ เขาก็นำเอาศพที่จะเผาออกจากโลง วางบนกระดานที่ทำให้กระดกได้ เพื่อว่าพระมารับผ้าไตรที่ศพ ศพก็จะกระดกขึ้นถวายผ้าให้พระ” พอถึงตอนนี้ ใครๆ ก็พากันร้องโอ้โฮตามๆ กัน
“ไม่เหม็นหรือปู่” ผมถาม
“เหม็นสิ ถามได้ ศพเน่าแท้ๆ แล้วแต่ศพเก่าศพใหม่” แกว่า
“แล้วผ้าไตรวางไว้ที่ไหนล่ะ” อีกคนหนึ่งถาม “วางที่ศพเลย แต่เขาเอาใบตองวางบนศพ แล้วจึงวางผ้าไตรบนนั้น”
“อ้อ!” ร้องเกือบพร้อมกัน “แต่ก็น่าจะเปื้อนศพบ้างละปู่” อีกคนออกความเห็น
“ก็เป็นบ้าง” ปู่อ่ำว่าพร้อมกับพยักหน้า “โอ๊ย! มันพิเรนทร์นักว่ะ อ้ายผ้าป่าแบบนี้ เขาจะทํา เขาทําเงียบๆ เขาทําประตูป่า ทําทางลดเลี้ยวอย่างเขาวงกตว่ะ พระที่ถูกนิมนต์ก็ไม่รู้ตัวว่าศพจะอยู่เลี้ยวไหน เขาให้ถือไฟหรือไต้ไปเพียงดวงเดียวเท่านั้น พอพบเข้าโดยไม่รู้ตัว ก็ใจหายเลย ศพนั้นกระดุกตัวขึ้นด้วยนะ เขาทำกระดานดีมาก” ปู่อ่ำซึ่งแก่คราวปู่แล้ว แกพูดไปก็ยังอดส่ายหน้าไม่ได้ว่าแย่ๆ
“เมื่อข้ายังหนุ่มซิวะ โดนเข้าอย่างงาม ข้าบวชอยู่วัดสระเกศนั่นแหละ โอ๊ย! เอ็งเว้ย หน้าผ้าป่าละก็พระเจ้านอนสะดุ้งไปตามๆ กัน กลัวจะถูกนิมนต์เข้าน่ะสิ พู่โธ่ กลางคืนยังงี้ มักไปจำวัดกุฏิอื่นรวมกันหลายๆ รูป จะได้เกี่ยงกัน หรือไม่ก็จะได้ไปรับผ้าสักสองรูป ยิ่งกุฏิไหนไม่มีลูกศิษย์โตๆ อยู่ด้วย อยู่เพียงรูปเดียว นอนหนาวเลย เพราะเขามักมานิมนต์เอาตอนดึกมากๆ”
“เอ๊ะปู่ เราจะไม่รับนิมนต์ไม่ได้เรอะ” ผมถาม
“เป็นพระไม่รับนิมนต์ได้รึ” แกว่า
“เขาเล่นแบบนี้โว้ย เขาใช้อิฐขว้างกุฏิ อิฐโดนห้องใคร รูปนั้นต้องไป”
“แม่โว้ย แย่จริง” ใครคนหนึ่งร้อง
“อีตอนข้าโดนซีวะแย่” แกว่า “คืองี้วะ คืนนั้นมีพระประจำวัดที่กุฏิข้าอีกสองรูป เป็นสามทั้งข้า คืนนั้นแหละโว้ย ไม่นึกไม่ฝัน เสียงอิฐโครมๆ เข้าแล้วสิ ใจหายกันทุกรูปเลย”
“ทำไม่ได้ยินไม่ได้รึปู่ ทำหลับสนิท” ผมถาม
“เฮ้ย ไม่ได้หรอก เขาเห็นนิ่ง เขาใช้ไม้เคาะฝาว่ะ ทั้งร้องนิมนต์ด้วยว่ะ เสียงลั่นวัด”
“แหมไม่ไหว พิธีบ้าๆ อะไรกัน” เด็กหนุ่มคนหนึ่งหลุดปากออกมา
“ของเก่าเขาโว้ย ใครจะห้ามเขาล่ะ เขาเล่นพิเรนทร์ก็ต้องยอม”
“เอ! มันจะได้บุญกันตรงไหนนะ” ผมพูด
“ก็ไม่รู้ละโว้ย เขาทํากัน ก็ต้องยอม เราเป็นพระ หมดทางหลีก” แกส่ายหัว “เอาสนุกกันมากกว่า”
“ปู่เล่าต่อเถอะ” ผมเตือน
“อ้อวันนั้น! ข้าทำนิ่งเฉยเสีย ข้างล่างตีฝาปังๆ พระอื่นต่างเกี่ยงกัน”
“ผมขอเจ้าของกุฏิขอรับ” เขาตะโกนพร้อมๆ กัน “ข้าใจหายเลย ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว แข็งใจขึ้นครองผ้า ข้ากลัวจริงๆ ตอนนั้นยังหนุ่มนี่หว่า อยากจะร้องไห้เสียจริงๆ”
“แหม! ฉันเห็นใจปู่” ใครคนหนึ่งพูด “เป็นฉัน ฉันไม่เอา เป็นไรเป็นกัน เล่นสกปรก”
“ทําไงได้ วินัยพระนี่หว่า ลูกศิษย์ก็ไม่มีเสียด้วยสิ ต้องไปเดี่ยว พอลงจากกุฏิ ต้องท่องมนต์แน่ะโว้ย แต่ยังงั้นขาก็ชักจะสั่นๆ เจ้าภาพสองสามคนเดินนำเราไป ข้าจุดโคมหิ้วไปว่ะ แต่พอถึงซุ้มประตูป่าซิโว้ย พวกเจ้าภาพไม่เอากับข้าเสียแล้ว เขาหยุดอยู่ข้างนอก กลิ่นศพแตะจมูกเข้าแล้ว ชักชะงักหยุดยืนหน่อยหนึ่ง ลงท้ายตัดสินใจเดิน เป็นตายไปรู้ข้างหน้า ยิ่งเหม็น ยิ่งทำให้กลัวขึ้นอีก เห็นหลายเลี้ยวไปตามซอกรั้วใบไม้ ตะเกียงโคมก็ไม่ค่อยสว่างนัก พอมีแสงสลัวๆ เดี๋ยวลอดซุ้มมืด เดี๋ยวออกโปร่งอยู่หลายตลบ ใจก็ภาวนาว่าถึงก็ถึงเสีย จะได้กลับกุฏิพ้นทุกข์ไป
พออีกเลี้ยวหนึ่งก็ถึงสะพานทอดให้เดินไป พออีกเลี้ยวก็มองเห็นศพอยู่ห่างสักสองวา ข้าชะงักหน่อยว่ะ สะกดใจทำให้ข้ากล้ว เอาทางธรรมเข้าหักแล้วเดินเข้าไป คุณพระช่วย ข้าเหยียบกระดานแผ่นต่อเข้า คล้ายตัวเองตกหลุม กระดานมันถูกน้ำหนักตัวผลุบลงในหลุม เจ้าศพนั่นลุกขึ้นยืน เฮ้ย ข้าตกใจตัวชาเลย แทบจะล้ม กลัวศพจะคะมำมาทับข้า แขนศพเขาหักทำให้ประคองผ้าไตร เอาใบตองวางทับแขนไว้ เหม็นก็เหม็น เป็นศพสี่ห้าคืนกำลังขึ้นอืดจวนเฟะ ข้าจะตายเสียให้ได้ ตามกฎของพระ ต้องยืนสงบปลงสังขารจนจบ แล้วจึงบังสุกุลอีกจบ จึงจะหยิบผ้านั้น ข้าหมุนตัวกลับ พอก้าวพ้นกระดานแผ่นนั้น กระดานมันก็กระดกขึ้น ศพกลับล้มลงนอนอย่างแรงดังครืน เหม็นกลับหนักขึ้น ข้าแทบขาดใจตาย ตกใจที่เสียงมันดัง ก้าวขาจะไม่ออก เพราะศพมันอยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าจะลุกตามมาหรือเปล่า เหงื่อไหลโซมตัว แข็งใจรีบเดิน เจ้าประคุณเอ๋ย มันหลายเลี้ยวเหลือเกิน พอออกพ้นก็แทบร้องไห้ โฮ้ย! จริงโว้ย เห็นจะได้บุญยาก จิตใจมันไม่ได้สงบและตั้งมั่นในสิ่งใดทั้งนั้น เจ้าภาพเดินมาส่ง เขาพูดชมเชยข้าว่ากล้าและมั่นคง ข้าไม่อยากพูดอยากตอบเลย มันโกรธจริงว่ะ” แกเล่าจบลง ใครคนหนึ่งรีบรินน้ำร้อนให้
ในบ้านเงียบไปครึ่งบ้าน เพราะฟังปู่เล่าการผจญบุญชนิดพิเรนทร์ให้ฟัง
“ปู่จ๋า แล้วอ้ายชนิดทําภาพปั้น หรือเอาคนทำนอนเป็นศพนั่นล่ะ มีความหมายยังไง?”
ผมถามปู่อ่ำโดยสนใจ ถ้าเราทำเล่น มันจะสนุกดี
“อ๋อ! อ้ายอย่างที่ว่านี้ ไม่มีอะไรหรอก มันก็ทำเล่นกันสนุกๆ เอา คนจริงๆ มาทาสีให้เป็นคล้ายผีตาย แล้วเอาน้ำเชื่อมราดตัวให้เป็นน้ำเหลือง พวกแมลงวันก็มาตอมกันหึ่งๆ แล้วก็หามไปบอกบุญตามบ้านรู้จักกัน บอกชื่อผู้ตายให้ใครๆ รู้ เขาก็ช่วยกันให้เงินทำบุญ สนุกดี เฮฮากัน ตามบรรดาญาติและเพื่อนฝูง เมื่อก่อนเขาเล่นกันยิ่งไปกว่าครั้งหลัง ทำเป็นญาติหรือเพื่อนเดินร้องไห้ตามศพ พอได้เงินใส่ขันพอสมควรแล้ว ก็หามไปวัดทอดผ้าป่าไปเลย
“เอ! เราเอามั่งแฮะ ฉันเป็นตัวผีตายเอง” ตาเฮงร้องขึ้น พวกที่ฟังอยู่ก็พากันฮาขึ้นครืนใหญ่ ต่างร้องสนับสนุนตาเฮงว่า ท่าจะดี
“อย่าเลย อย่าเล่นเลย” เสียงคุณยายแก่คนหนึ่งร้องค้านขึ้น แกคือ แม่แก่ในบ้านนั้น “เล่นอะไรอย่าให้มันแช่งตัวเองเลยนะ มันไม่เป็นมงคลเว้ย” แกลุกขึ้นยืนห้าม
“ปัดโธ่ป้า คนเรามันตายด้วยกันทั้งนั้น ถืออะไร้” ตาเฮงค้านและหัวเราะการถือโชคถือลางของแม่เฒ่าผ่อน
“กูเห็นไม่งามหรอกเว้ยจึงห้าม ถ้าเห็นดีก็ตามใจมึง ถุย!” แกพูดอย่างโกรธ แล้วผละออกจากวงนั้นไป พวกที่นั่งทั้งหมดหัวเราะกันครื้นเครง
พวกทั้งหมดที่มาร่วมผ้าป่าส่วนมากไม่ได้กลับบ้าน ค้างกันอยู่ที่นั่น ใครนอนก็นอน ใครไม่นอนก็อยู่ไป พอเช้าขึ้นอาบน้ำอาบท่าแล้ว ตั้งวงสุราอาหารกันต่อไป เริ่มเอะอะด้วยการมหรสพอีก พอกลางวันก็จะแห่องค์ผ้าป่าไปทอดที่วัดนั่นเอง การเมาสุราตอนเช้านี้ไม่แพ้กลางคืนเลย และจะหนักกว่ากลางคืนก็ตอนแสงอาทิตย์แผดเผานี่แหละ ช่วยให้ฤทธิ์เดชมันเข้าขั้นทั้งคายแก้วบ้าง หรือฟูบไปอย่างไม่โงบ้าง
โครงการสนุกของตาเฮงไม่ได้เลิกล้มตามที่ถูกแม่แก่ห้ามปรามเมื่อตอนกลางดึก ตาเฮงคงกร่ำเหล้าหนักแต่เช้าเพิ่มเติมเข้าไปอีกผสมกับเมาตอนกลางคืน แกให้พวกๆ เอาสีเขียวๆ แดงๆ ทาตัว ทําให้ดูเป็นศพเน่า ใครๆ ก็เห็นว่าคล้ายคนตายจริงๆ ตัวแกนอนมาบนแคร่ไม้ไผ่ที่มีพวกๆ สี่คนหามมาจากบ้านถัดไป เข้ามาวนที่ลานบ้านของปู่อ่ำ พวกที่บ้านผ้าป่าเฮเข้าไปล้อมดูการมหรสพของตาเฮงกันหนาแน่น มีป้ายเขียนติดที่แคร่หามบอกว่า ศพนายเฮง ผู้คนฮาลั่น ตาเฮงที่นอนทำเป็นผีตายลุกขึ้นจากแคร่ แต่ล้มลงไปอีกเพราะเมาหนัก แต่ก็พยายามลุกขึ้นจนได้ พวกสี่คนที่หามแคร่ก็เมาขนาดหนักด้วยกัน เซแล้วเซอีก แต่ตาเฮงหนักกว่า ยืนแทบไม่อยู่ ได้ความศรัทธาหนักถึงกับไม่ยอมนอนเมื่อคืน กลับไปบ้านจัดแจงต่อแคร่หาม และทาสีระบายตัว พอเสร็จการตบแต่งทุกอย่าง ก็หามมารวมกับองค์ผ้าป่าที่จะไปวัด
“เฮ้ยพวกเรา!” ตาโพล้งพูดอ้อแอ้ “เราหามอ้ายเฮงย้อนกลับไปหมู่บ้านโน้นก่อน” แกบัญชา “ไปเอาเงินผีตายก่อนน่ะ เรี่ยไรสิวะ ถ้าไม่มีเงินใส่พาน จะไปทอดยังไงได้หวา”
พวกสี่คนเห็นด้วยว่าควรจะออกหามแห่ย้อนไปก่อน เอาเงินเสียบ้าง จะได้ช่วยสมทบกับองค์ผ้าป่าใหญ่ แล้วพลหาบหามที่ยันตัวเองไม่ค่อยอยู่ก็เตรียมเข้าประจำที่ ตาเฮงตัวละครผีตายก็ขยับจะขึ้นแคร่ แต่ล้มก้นกระแทกไปก่อน ทั้งนี้เกิดจากความเมาเต็มที่และง่วงนอนเหลือจะฝืน พรรคพวกพยุงขึ้นนอนบนแคร่ให้เรียบร้อย มีใครอีกคนร้องว่า การแต่งตัวละครยังไม่ครบ แล้วเขาก็วิ่งไปเอาน้ำตาลหม้อมาละลายน้ำ ราดไปตามร่างกายตาเฮงจนทั่ว ดูคล้ายน้ำเหลืองไหลและเพื่อให้แมลงวันมาตอมด้วย จะให้ดูเป็นศพเน่าจริงๆ พอเสร็จแล้ว โถน้ำตาลที่ละลายน้ำไว้ก็วางไว้บนแคร่นั้นด้วย ถ้าแห้งจะได้ราดอีก ล่อแมลงวันต่อไป
ตาโพล้งเป็นคนเอาเหล้าเทใส่ปากศพเข้าไปอีก พรรคพวกเฮฮา แล้วขบวนผ้าป่าสมทบก็ออกเดินขบวนไปทางหมู่บ้านไร่มะลิ โดยถนนดินแคบๆ และไม้กระดานปูบ้างเป็นบางตอน เซ็งแซ่กันไปด้วยหมู่เด็กวิ่งตามหลังบ้าง นำหน้าบ้าง สองข้างทางเป็นท้องร่องบ้าง เป็นพื้นแห้งบ้าง ชาวบ้าน ทำการปลูกมะลิเป็นไร่เล็กบ้างใหญ่บ้างตามกำลัง
ขบวนผ้าป่าผีตายผ่านบ้านไหน ก็ร้องให้ทำบุญไป ชาวบ้านเฮฮากันมาดูศพ แล้วหัวเราะเกรียวกราว บ้างก็ให้สตางค์ บ้างก็ให้สุราตามแต่ใจสนุก ตาโพล้งก็ดื่มกับพลหาบ และไม่ลืมจะกรอกปากให้ศพ บางทีศพสําลักเพราะเทเหล้าแรงและมากเกินไป กลืนไม่ทัน คนกำลังนอนย่อมกลืนน้ำยาก เมื่อถูกเทลงไปก็ถึงสำลักตาเหลือก ก็เป็นที่สนุกสนานกันยิ่งนัก
ถึงทางแยกหนึ่ง ขบวนก็เลี้ยวเข้าสู่ทางเดินที่แคบหน่อย พวกเด็กอยากจะอยู่หลังอยู่หน้าเหล่านั้น ก็เผ่นข้ามท้องร่องสองข้างทาง เพื่อวิ่งลัดไปโดดข้ามอีกข้างหน้า ดูสับสนน่าสนุก ที่โดดไม่พ้นก็ตกน้ำ เลยทำให้น้ำสาดขึ้นมาเปียกทางเดิน พลหาบที่เมาแทบทรงตัวไม่อยู่ ก็เดินลื่นอยู่ไปมา ร้องด่าเด็กอยู่ขรมถมเถ
แต่ในครู่นั้นเอง เจ้าเด็กอีกคนตกท้องร่อง น้ำก็สาดขึ้นมาอีกและมาก จึงสาดเข้าใส่ร่างผีตาย ผีตายนอนอ้าปากอยู่ เลยถูกน้ำเข้าปากสำลัก ผีตายก็ผุดขึ้นนั่ง พลหามพลหาบที่หลักไม่ดีเพราะเมาสุราก็เซจะล้ม พอดีเหยียบเอาน้ำที่ราดดินเป็นโคลน พลหามก็ล้มไม่เป็นท่า บางคนหงายลงท้องร่อง หัวทิ่มบ้าง สุดแต่จะมีอาการ ส่วนศพผีตายนั้น หัวคะมำลงในน้ำเลย แต่ว่าน้ำตรงนั้นก็ลึกแค่ศอกกว่าๆ คนเฮฮาสนุกขบขันกันที่สุด
พลหามที่เมาอยู่แล้วกว่าจะตะกายขึ้นจากท้องร่องได้ ต้องช่วยกันดึง ตาเฮงผีตายนั้นไม่มีคนช่วย มัวหัวเราะกันสนุกอยู่ ตาเฮงเลยหัวทิ่มโก้งโค้งดิ้นขลุกขลักๆ พอพลหามขึ้นได้หมดจึงเข้าช่วยดึงผีตาย ดึงกันอยู่ขลุกขลัก ประกอบทั้งเมาและทั้งดินลื่น เล่นเอาอลเวง
พอดีชาวบ้านที่ไม่เมาเหล้านึกสังหรณ์ใจ จึงร้องบอกกันว่า ตาเฮงจะสําลักน้ำตาย ช่วยกันเร็ว จึงพร้อมใจกันลากขาแกขึ้นมา พอพ้นน้ำจึงรู้ว่าแกหัวทิ่มลงไปในโคลนลึก มีรอยโคลนลึกแค่หน้าอกตาเฮง หน้าตาของตาเฮงก็โคลนเต็ม ชาวบ้านกลัวดินจะอุดปากอุดจมูกตาเฮง จึงช่วยกันล้างโคลน แคะโคลนในรูจมูก กว่าจะล้างหน้าตาเฮงเสร็จก็นานโข เห็นตาเซงแน่นิ่งไปจึงต่างตกใจ ร้องบอกกันต่อๆ ไป พลหามที่เมาเต็มกรานถึงกับสร่างเมา รีบหามตาเฮงมาวัด เข้าหาท่านพระครูหมอ ท่านพระครูรีบแก้ไขเป็นการใหญ่ เหล่าพุทธบริษัทผ้าป่าต่างมุงกันแน่น ช่วยบีบช่วยนวดเป็นการใหญ่ แต่ตาเฮงคงตัวเย็นชืดอย่างเดิม
จนตกเวลาแก้ไขเข้าไปหนึ่งชั่วโมง จึงรู้แน่ว่าตาเฮงตาย มีเอะอะโวยวายอลวนกันอย่างใหญ่ ต่างโทษกันว่าคนนั้นคนนี้ชวนตาเฮงเล่นพิเรนทร์ถึงได้เกิดตาย พระทั้งวัดงงงันไปด้วยกัน ความครึกครื้นของงานผ้าป่าได้เงียบลงด้วยความสลดใจ ตาเฮงไม่มีลูก แต่เมียตาเฮงมาร้องไห้และด่าใครต่อใครเปื้อนไปหมด หาว่าทำให้ผัวแกตาย จึงรีบไปแจ้งตำรวจถึงสาเหตุตาเฮงตาย
ทุกคนไม่มีใครหนีหาย เพราะทุกคนที่ร่วมสนุกไม่ได้ฆ่าตาเฮง แต่เหตุการณ์ได้เป็นไปเพราะเมาสุรา จนไม่รู้ว่าภัยจะเกิดขึ้น มีการสอบสวนที่มาของการตายของตาเฮง ตํารวจจะนำศพตาเฮงไปชันสูตร แต่บรรดาพ่อเฒ่าแม่แก่ขอร้องไว้สักครู่ ว่าไหนๆ ตาเฮงก็ตั้งใจทำตนเป็นผีตายทอดผ้าป่า ก็ขอให้ได้สมใจตั้งของแก จึงเอาผ้าไตรมาวางบนศพแก ให้พระชักบังสุกุลไป จึงเกิดพิธีทอดผ้าป่าผีตายขึ้นจริงๆ ส่วนผ้าป่าองค์แท้นั้นก็รีบเร่งทอดกันโดยด่วน แล้วกองผ้าป่าทั้งหลายก็ต้องหันมาช่วยกันจัดการกับศพตาเฮงไปคนละเฟื่องคนละสลึงตามมีตามเกิด
จัดการสวดในคืนนั้น ความเงียบสงัดวังเวงได้เกิดขึ้นกับทุกคน ที่ทนสลดใจไม่ไหวก็กรอกเหล้าเข้าไปดับความเศร้า ปู่ก้มหน้าโคลงหัว บ่นว่าผ้าป่าปีต่อไปเลิกฉลองกันที มีศรัทธาก็ร่วมบริจาคแล้วนำมาวัด ความตายของตาเฮงเป็นบทเรียน การกุศลที่กินเหล้าเสียจนมีการตายเกิดขึ้นในงานมงคลจะดีอย่างไรกัน แม่แก่ผ่อนบ่นว่า “กูว่าแล้ว อ้ายเฮงเว้ย เวรของมึง ดูไว้เถอะโว้ยทุกคนๆ การเล่นพิเรนทร์น่ะมันไม่เหมาะ” ทุกคนไม่มีใครเถียงแม่แก่เลย เพราะเห็นแต่สนุกจึงทุกข์ถนัด
ผมคิดแล้วคิดอีกว่าผมจะอยู่ฟังสวดอภิธรรมอีกจะไหวหรือไม่ ผมจะต้องเดินออกจากวัดไปคนเดียว ครั้นจะค้างบ้านปู่อ่ำอีกคืนก็ห่วงบ้าน เพราะค้างมาคืนหนึ่งแล้ว ผมสังเกตสีหน้าอีกหลายคนที่จะต้องเดินผ่านทางที่ตาเฮงหัวทิ่มโคลนตายว่ามีความหนักใจตามๆ กัน ส่วนพวกที่อยู่บ้านใกล้ๆ ปู่อ่ำมากกว่าพวกที่จะเดินทางกลับบ้านผ่านแดนตายของตาเฮง ส่วนผมน่ะไม่ได้ผ่านทางอะไรกับโจรทั้งนั้น แต่จะต้องออกจากวัดคนเดียว และทั้งตาเฮงก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกับผม ท่าจะหาทางเลี่ยงเสียแต่ยังวันๆ
เรื่องการเลี่ยงหนีพวกนี้ไปก็ยากประเดี๋ยวจะหาว่าผมหนีเอาตัวรอดในยามพวกพ้องมีทุกข์ ผมจึงออกอุบายอยากเหล้า ชวนเพื่อนบางคนไปหาเหล้าดื่ม เพื่อดับความสลดใจนอกวัด จึงเลยหลุดออกมานอกวัดได้ พอดื่มกันหอมปากหอมคอเพียงขาแกว่งๆ ผมก็ขอตัวกลับบ้าน อ้างว่าห่วงบ้าน ส่วนเพื่อนอีกสองสามคนก็เดินเซๆ โงนๆ เข้าวัดไปอีก
นี่แหละครับเรื่องของผ้าป่าผีตายมีดังนี้ ผมเองอายุไม่ทันจะเห็นเขาเล่นกันหรอกครับ พอได้ยินปูอ่ำเล่าให้ฟัง พวกเรามาเล่นกันเข้า ก็มีเหตุดังนี้แหละ
เหม เวชกร