[เปิดกรุผีไทย] บทประพันธ์โดย “ครูเหม เวชกร” เรื่อง…นั่งหวย
เรื่องนี้บันทึกเหตุการณ์จากนายมิ่งคนเก่า ที่เป็นนักเลงหวย ก.ข. สมัยโน้น ที่ผจญกับปีศาจที่ชอบหลอกหลอนนักเลงเล่นหวย เที่ยวหาตัวหวยตามที่สงัดต่าง ๆ ภาษาเก่าเรียกว่าพวกนั่งหวย
ที่ร้านสุราแห่งหนึ่งในตําบลยานนาวา มีผู้ดื่มอยู่หลายรุ่น ทั้งหนุ่ม ทั้งแก่ กลางคน และเลยกลางคน มีอยู่โต๊ะหนึ่งที่ขะมักเขม้นในเลขท้ายลอตเตอรี่ ถกเถียงกันที่ได้เลขมาจากอาจารย์ แทงแล้วถูกกินบ้าง บางรายแทงแล้วก็ถูกบ้างตามแต่โชคชะตา
ซึ่งความจริงนั้นอาจารย์ทุก ๆ อาจารย์ก็เพียงคาดหมายและมั่นเอาเอง ในการหมุนเวียนแห่งตัวเลขจะเดินวนเวียนมาบรรจบตามตําราที่วางไว้ แต่บางครั้งก็ผิดพลาดไปจากตำรา ผู้ถูกหวยกินก็บ่นกันไปตามระเบียบของผู้ที่ พลาด จะโกรธเคืองโชคชะตาของตนบ้าง โทษเอาอาจารย์บ้าง แต่ละคนหลงเอาแน่นอนกับความหมุนของเครื่องออกเลข ซึ่งย่อมหมุนไปตามกําลังไฟฟ้า จะมีใครไปหยุดเอาเองได้ก็หาไม่ แล้วแต่โชคก็ไปตรงเข้า
ผู้เฒ่ามิ่งหรือนายมิ่งนั่งฟังอยู่ และทั้งเคยผิดพลาดในการแทงเลขท้ายมาแล้วเหมือนกัน แกสั่นหัวแล้วถอนใจยาว
“ฉันเองก็เล่นไปกับเขายังงั้นแหละ ทั้งที่รู้ว่ามันเอาแน่ไม่ได้” เฒ่ามิ่งพูดขึ้น “เรากะเราเก็งยาก เพราะเจ้าลูกกลิ้งมันหมุนไปตามเรื่องของมัน ที่ไหนมันจะดลบันดาลได้เผง ๆ เหมือนอย่างหวย ก.ข. โบราณ”
ผมนั่งดื่มสุราไปฟังแกพูดพลาง ๆ โดยผมนั่งอยู่กับเพื่อนอีกโต๊ะหนึ่งใกล้ ๆ กัน
“หวย ก.ข. โบราณน่ะ ขุนบาลเป็นคนออก เขากะเขาคิดจัดออกตัวนั้นตัวนี้” แกพูดต่อไป ในโต๊ะของเราจึงมีผู้สนใจอยู่บ้าง “การที่ใช้มือคนแท้ ๆ จับออกคิดออกน่ะ จึงมีอาจารย์เก่ง ๆ นั่งทางใน พอจะรู้กันเก็งใจกันออก ถ้าอาจารย์เก่ง ๆ บอกหวยให้มักไม่พลาด” แกว่า
“ข้อนี้ท่าจะจริง” ชายกลางคนคนหนึ่งสนับสนุนเพราะเห็นด้วย “ผมเห็นด้วยกับคุณน้า อ้ายเราเป็นมนุษย์ธรรมดา จะไปเก็งไปสั่งอะไรมันกับลูกโม่ที่มันหมุนด้วยกําลังไฟฟ้า ถ้ามันคนด้วยกันย่อมมีอาจารย์ขลัง ๆ นั่งฌานบังคับเขาได้ ดลใจให้ออกตัวนั้นตัวนี้”
“ถูก! พ่อเจียมพูดถูก อ้า! พ่อเจียมพ่อรู้เรื่องนี้ดี” พ่อเฒ่ามิ่งออกปากรับรองการพูดของผู้สนับสนุนว่าถูกต้อง
“สมัยหวย ก.ข. เราเอง พอนั่งหวยเองได้ตามเกจิอาจารย์แนะนํา โอ๊ย! ฉันน่ะทํามาเสียทุกวิธี ถูกบ้างกินบ้างตามเรื่องมัน แต่ที่ถูกกินน่ะไม่ใช่พิธีเขาพลาดนะจะบอกให้” เฒ่ามิ่งพูดแล้วยกมือชูเข้าไปในวงสุราให้ฟัง “ที่หวยกินไปก็เพราะเราเอง เกิดยักย้ายการแทงเสียเอง ในตอนหลังเกิดไปคิดว่าตัวนั้นตัวนี้ดี ยักเช้ายักค่ำ ฮ่า! บางทีออกมาแล้วไม่ได้ไม่เสีย ไม่พอกับที่ลงทุนลงแรง ย้ายไปย้ายมาเลยเจ๊งกันไป”
“คุณตาเคยนั่งยังไงครับ นั่งหวยน่ะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งถามพ่อเฒ่ามิ่ง
“โฮย! หลายวิธีนัก ทําหวยน่ะ ในป่าช้ายังเคยเลยคุณเอ๋ย บางแห่งเราเคยไปกันสองสามคน เมื่อสมัยโน้นหนุ่ม ๆ ด้วยกัน ใจเด็ด ๆ พอกัน ที่วัดเทพฯ ก็เอย วัดจางวางดิษฐ์ จางวางพวงเอาทั้งนั้น วัดบางหว้ายังเคยเลย ผ่าซิ เอ้า! ปั้ดโธ่! วัดเทพฯ สมัยนั้นเปลี่ยวน่ากลัวหยอกเมื่อไหร่ ทางหลังวัดที่เป็นเมรุอยู่เดี๋ยวนี้ เงียบน่ากลัว กลางวันแสก ๆ ยังหาคนเดินน้อยแทบนับคนได้ ไม่คึกคักอย่างเดี๋ยวนี้หรอก
ที่หลังวัดเทพฯ นี่แหละ ฉันกับเพื่อนนักเลงด้วยกันนะคุณ ไปนั่งหวยกัน จุดไต้ไว้ห่าง ๆ แล้วต่างคนต่างนั่งจุดเทียนกัน ว่าคาถาขลังตามแบบคาถาหวย ไม่ใช่ไหว้พระไหว้เจ้าอะไรหรอก
อีกคืนหนึ่งนะ ที่ตรงนั้นมันรกรื้อและเราก็ไม่มีเสื่อมีสาดอะไรไปปู เราก็นั่งพนมมือนั่งยอง ๆ กันนั่นแหละ โอ๊ย! คุณเอ๋ย ฉันถูกผีมันล้อ เอามือล้วงก้นเอา ชั้นแรกฉันคิดว่างูมันชูหัวมาโดนก้น ฉันโดดจนตัวลอยเทียนดับเลย แต่ไต้ยังมีอยู่จึงส่องพอจะเห็น เอ๊ะ! งูก็ไม่มี ถ้ามีก็เห็นสิคุณ
จริงอยู่ฉันว่าที่ตรงนั้นรกรื้อจริง ๆ แต่มันก็เป็นที่รกห่างตัวเรามาก ตรงที่เรานั่งกันนั้นเราเอาไม้ปาด ๆ กันพอเตียนที่จะนั่งยอง ๆ ได้ และอ้ายการถูกล้วงก้นนี่น่ะไม่ใช่ถูกแต่ฉันหรอก เพื่อนสามคนก็ถูกด้วยกัน เราจึงรู้ว่าเราถูกผีรบกวนเสียแล้ว เลยเลิกนั่ง เก็บกระดาษ เก็บถ้วยปูนกับขมิ้นที่ละลายน้ำไว้ให้ผีเขียนตัวหนังสือกลับ” เฒ่ามิ่งหยุดดื่มสุรา
“มันทําเท่านั้นเอง?” หนุ่มคนเก่าถามขึ้น
“เท่านั้นแหละ! ไม่รบกวนอะไรมาก แต่เราก็ใจไม่ดี ถือว่าเสียสมาธิ เลยกลับกัน แต่อีกวันสิ!” เฒ่ามิ่งชูมือประกอบคําพูด
“เราไปนั่งกันที่วัดสระเกศ หน้าวัดนั่นแหละครับ สมัยนั้นเรื่องวัดสระเกศละก็ มันแทบจะเป็นป่าช้าไปทั้งนั้น ศพน่ะรึ ทั้งฝังทั้งทิ้งให้แร้งกากิน เช่นศพนักโทษยังงี้ เชือดเนื้อให้แร้งกากิน ที่เหลือก็ฝังไป โอ๊ย! ยิ่งทางเมรุปูน คือทางด้านถนนที่สายประตูผีนั่นแหละคุณ แดนเชือดศพเชียวละ สมัยนั้นยังไม่มีถนนนี่คุณ เป็นป่าช้าเราดี ๆ นั่นเอง สมัยที่เขาขุดทางทําถนน หัวกะโหลกออกเกลื่อนกลาดไป
วันที่เราไปนั่งกันนะคุณ เราทําพิธีว่าคาถากันแล้ว เราก็จุดเทียนปักไว้ วางกระดาษและถ้วยขมิ้นกับปูนวางไว้ แล้วเราก็หลบแอบบังต้นโพคอยอยู่” เฒ่ามิ่งหยุดพูด แล้วกระดิกนิ้วเรียกเจ๊กให้ตกเหล้าโรงอีกแก้ว
“อ้อ! พิธีนี้ผมเคยได้ยินปู่ผมเล่าให้ฟังเหมือนกัน” หนุ่มนั้นว่า “แต่ปู่ผมบอกว่าทําพิธีแล้วก็วางกระดาษกับขมิ้นกับปูนทิ้งไว้ เช้าจึงไปดูกันว่าจะเขียนตัวอะไรไว้ให้”
“โอ๊ย! ลําบากอย่างนั้น” เฒ่ามิ่งว่า “ฉันก็เคยทําอย่างนั้นเหมือนกันคุณ โอ๊ย! กินเรียบ ก็เพราะว่าอ้ายใครมันมาเห็นเข้า มันก็แกล้งเขียนเข้าไว้ให้ เราก็เจ๊งไปเท่านั้นเอง จึงต้องนั่งคุมกันไว้ แหม! คุณเอ๋ย คืนนั้นฉันกับเพื่อนนั่งคอยตั้งแต่หัวค่ำจนเกือบสี่ทุ่มเห็นจะได้ มีลมพัดมาอ่อน ๆ เสียงนกกู้กร้องกุ้กอยู่บนต้นโพที่เรานั่งแอบนั่นแหละ ฉันสะดุ้งหนาวใจเหลือเกิน แต่อยากได้หวยต้องจําทน
ในครู่นั้นเอง เทียนที่จุดไว้แทบจะดับ มีลมพัดเหมือนเดินเฉียดไปที่กระดาษกับถ้วยขมิ้นกับปูน แล้วมีเงาวูบมึด ๆ ไม่เห็นเป็นตัวเป็นตนหรอกคุณ แต่พอทุกสิ่งทุกอย่างสงบ เราทั้งหมดก็ออกจากที่ซ่อนไปเก็บของเหล่านั้น และเดินคุมหน้าคุมหลังกันออกพ้นเขตวัดมา
พอมาถึงบ้านก็ดูกระดาษกัน มีรอยนิ้วจิ้มปูนเขียนไว้ เป็นหวยเช้าค่ำชัด ๆ เลยคุณ ฉันกับพวกแทงกันอย่างหนักทีเดียวในวันรุ่งขึ้น” แกหยุดดื่มสุราอีก
“ถูกผางเลย?” พ่อหนุ่มผู้สนใจถามดักคอ เฒ่ามิ่งวางแก้วเหล้าแล้วพยักหน้าพูด
“กินเรียบ”
“อ้าว!” เสียงนี้เป็นเสียงหลายคนในกลุ่มนั้นร้องขึ้นยังกับนัดกันไว้ แล้วเลยฮากันครืน
“คุณลุงเลยเลิกหวยสิครับ ? ผมนั่งอยู่โต๊ะใกล้ ๆ จึงสอดปากถามไป แกหันมาดูผม
“ที่ไหนได้ ลงผีหวยมันเข้าละก็เลิกยังไง” แกว่า “เป็นแต่หยุดมาหลายวัน เพราะต่างคนต่างหมดทุน แทงกันหมดตัวนี่ครับ ผีมันแกล้งเรา” แกพูดแล้วสั่นหัวพลางร้องเรียกเหล้าอีก ผมนึกสนุกอยากฟังเรื่องต่อ ๆ ไป จึงรับจ่ายค่าสุราเอง แกตอบขอบใจ ดื่มกร๊วบเดียวหมดแก้ว
“คุณลุงเลิกนั่งหวยหรือไงครับ?” ผมถาม
“ไม่เลิกหรอกคุณ เลิกนั่งก็ไม่รู้จะแทงอะไร” แกตอบ “คราวนี้ฉันกับเพื่อนสองคนเท่านั้นแหละคุณ ไปลองนั่งทางวัดบางหว้า ก็วัดอมรินทร์นี้แหละคุณ วันนั้นไปดูลู่ทางที่ป่าช้าไว้แต่บ่าย แล้วกลับมากินเหล้ากันที่ร้านเจ๊กนอกวัด ตั้งใจเอากันที่ศาลากลางป่าช้าที่มีแต่พื้นกระเบื้อง และเสากับหลังคา ฝาไม่มี โปร่ง ๆ ดี ใครจะแอบเขียนตัวหวยล้อเราย่อมไม่ได้
อ่านต่อ – นั่งหวย ตอนที่ ๒ (จบ)