[เปิดกรุผีไทย] บทประพันธ์โดย “ครูเหม เวชกร” เรื่อง…นั่งหวย (ตอนที่ ๒)
ความเดิมก่อนหน้า – นั่งหวย ตอนที่ ๑
ฉันกับเพื่อนสองคนดวดเหล้ากันจนสบายดีแล้วจึงเตรียมข้าวของเข้าวัด พอเลี้ยวเข้าตรอกวัด เราก็เห็นคนนําหน้าเราอยู่คนหนึ่ง นุ่งผ้าพื้นโจงกระเบนห่มผ้าขาวอย่างสกปรกสะพายเฉียง เราเดินตามเขามาอย่างเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรกัน เราไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเราจะมานั่งหวย พอถึงทางเลี้ยวเข้าป่าช้า คนเดินหน้าก็เลี้ยวเข้าไปก่อน เราสองคนสะกิดกัน ฉันกระซิบกับเพื่อนว่า
“ท่าจะไม่ดีเสียแล้ว ตานี่คงจะเป็นสัปเหร่อ ถ้ารู้ว่าเราจะมานั่งหวยก็จะมาทําความรําคาญแก่เรา”
“แล้วจะทํายังไงกันล่ะ?” เพื่อนถาม
“ยังไม่รู้จะทํายังไง” ฉันตอบ
“พวกสัปเหร่อใช่ไหม?” หนุ่มคนแรกถามแทรกขึ้นมา
“ไม่รู้น่ะสิคุณ เขาเดินไปฉันก็เดินไป” เฒ่ามิ่งตอบ “แต่เอ๊ะ! ไม่เข้าท่าเสียแล้ว คนนั้นเดินไปที่ศาลาโล่งนั่น ซึ่งเป็นที่หมายของเรา มาเกิดจ๊ะกันเข้าแล้ว หมอนี้ท่าจะมาเรื่องหวยเหมือนกัน ฉันชักเกิดลังเลใจ แต่เพื่อนกระซิบว่า ต่างคนต่างนั่งกันก็แล้วไปสิ เขาก็เขา เราก็เรา ฉันเห็นด้วยจึงก้าวขึ้นบนพื้นกระเบื้องปูน แต่ยังไม่ลงมือทําอะไรทั้งนั้น นั่งลงเฉย ๆ ก่อน
อากาศขมุกขมัวเต็มที่แล้ว เสียงเรไรดังหริ่งไปทั่วบริเวณ เพราะไม้สูง ๆ ยืนต้นมาก มองมึดทึมน่ากลัว ชีวิตนักเลงหวยละมันยังงี้แหละคุณ
พอมืดทั่วไปทั้งบริเวณ ฉันกับเพื่อนก็จุดเทียนใหญ่ปักลงกับพื้น สว่างเห็นกันดี นักเลงหวยคนนั้นยังไม่ทําอะไร เดินก้มหน้าวนไปวนมา เดินไปหยุดเสาโน้นเสานี้จนครบสี่เสา แล้วชำเลืองดูเราทั้งสอง ฉันอดปากอยู่ไม่ได้จึงพูดกับเขาพอเป็นทางว่า ถ้ามีอะไรดีจะขอบ้าง จะหวงไหมพี่ทิด? เขานิ่งเฉยยังไม่ตอบมาทันที ฉันจึงพูดไปอีกว่า ฉันน่ะถูกหวยกินมาเสียจนกรอบเพราะได้หวยไม่ค่อยแน่นอน ถ้าทิดมีอะไรดี ๆ แบ่งปันให้บ้างก็พอจะแก้จนไปได้บ้าง
คราวนี้ทิดนั้นจึงตอบเสียงห้วน ๆ ว่า พบอะไรเห็นอะไรคิดออกก็เอาไปไม่หวงหรอก เขาพูดอย่างไม่หันมาดูเรา ต่อนั้นไปก็ไม่พูดอะไรอีก เขาลงมือจุดเทียนปักลงใจกลางของศาลา ส่วนเราสองคนยังไม่ทําอะไรทั้งนั้น เพราะเสียงที่เขาพูดก็เข้าทีที่ว่า พบอะไรเห็นอะไรคิดออกก็เอาไป ท่าจะดี คราวนี้ถ้าได้ไปโดยคิดตก ก็จะดีกว่าเรานั่งเองกระมัง? เราจึงนั่งดูเขาทําพิธี
เขาเดินพนมมือก้าวไปช้า ๆ เข้าหาเสาทั้งสี่เสา หยุดยืนบ่นอะไรพึมพําที่โคนเสาอยู่ทุกต้น แล้วเป่าลมพรวดเข้าใส่เสานั้นทุกต้นไป เราสองคนรู้สึกว่าพิธีเขาแปลก ครั้นเขาสะกดเสาทั้งสี่ต้นแล้ว กลับมายืนตรงศูนย์กลางที่ปักเทียน ดึงผ้าห่มสะพายเฉียงนั้นออกแล้วโพกหัวจนดูคล้ายแขก ฉันนึกออกว่านี่คงเป็นพิธีของแขกครัวที่เราไม่รู้จักและไม่เคยเห็น
พอโพกหัวแล้ว เขาก็นั่งขัดสมาธิเงยหน้าบนคาถาพึมพําไปหมด เราแปลคาถาเขาไม่ออก ไม่รู้ว่าเขาพูดว่ากระไรบ้าง เพราะเสียงอยู่ในลําคอ เขาทําพิธีนี้อยู่นานเหลือเกินจนนกแสกบินโผเข้ามาที่เรา แล้วบินผ่านไป ร้องเสียงแซ้กเข้าขั้วหัวใจ ทั้งฉันและเพื่อนสะดุ้งทั้งตัว ตั้งแต่นั่งหวยมาไม่เคยวิธีนี้ และมันช่างรุนแรงจนนกกลางคืนที่น่ากลัวพลอยมาเข้าพิธีด้วย
ในครู่นั้นเองเจ้าค้างคาวแม่ไก่ก็บินมาอีก โฉบไปโฉบมาจนรอบหัวเขา จนเทียนที่ปักอยู่ตรงหน้าเขาถูกลมแรงปีกวูบวาบแทบจะดับลง พอค้างคาวผละไป เจ้านกแสกก็บินโผผ่านเข้ามาอีก ร้องเสียงกรีดหัวใจแล้วหายไปในดงมืด ฉันตั้งสติอดทนเหลือเกิน มันเป็นพิธีร้ายกาจที่สุด ผู้เข้าพิธียังคงนั่งนิ่งอีกสักครู่ แล้วจึงลุกเดินไปที่เสาต้นแรก เป่ามนต์ลงที่เสาอีก แล้วเกิดปีนเสาขึ้นไปจนถึงเพดานที่มึดตื้อหายไป ฉันกับเพื่อนมองหน้ากันอย่างตกใจ
แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรและทําอะไร ทิดนั่นก็ไต่ลงมาอีกเสาด้านหนึ่ง แต่การไต่ลงนี้ช่างแปลกประหลาดจนเราสะดุ้งใจ เขาไต่โดยเอาหัวลงมาอย่างตุ๊กแกหรือจิ้งจก แล้ววิ่งไปขึ้นอีกเสาหนึ่ง แล้วหายไปบนเพดานอีกตามเคย ฉันกับเพื่อนชักระส่ำระสาย เกิดสะกิดใจกลัว แต่เราพูดอะไรกันไม่ออกเลย ยังไม่รู้ว่าภาพที่เราเห็นนั้นคืออะไร
แต่ในครู่นั้นเอง ฉันถึงกับผุดลุกขึ้นยืน เพราะทั้งสี่เสานั้นมีคนไต่ลงมาพร้อมกัน และร้ายที่สุด มันเป็นคนคนเดียวกันทั้งสี่เสา ฉันกับเพื่อนยืนขาสั่น ในที่สุดเจ้าสี่คนที่เสานั้นก็หายวับไป เหมือนมีใครวิ่งหัวเราะดังก้องเข้าไปทางดงมืด ฉันฉุดมือเพื่อนได้ออกวิ่งสุดกําลัง จะโดนอะไรหรือจะตกอะไรไม่พึงคิดทั้งสิ้น หัวใจไม่อยู่กับตัว
เราทั้งสองมาสะดุดถนนอิฐล้มลง เสียงคนพูดกันหลายคนเอะอะ เงยหน้าขึ้นจึงเห็นพระสี่รูป พร้อมทั้งเด็กโต ๆ สองคน พระไม่ถามอะไรเลย ฉุดมือฉันและเพื่อน แล้วท่านเดินห้อมล้อมกันมาจนขึ้นกุฏิ ฉันกับเพื่อนสั่นเทาไป ทั้งตัว พระแก่รูปหนึ่งมาเป่าขม่อมให้ สักครู่จึงรู้สึกอบอุ่น พระบางรูปท่านถามเรื่องราว เราพูดกันไม่ออกเลย ปากคอมันสั่นไปหมด ท่านเลยเลิกถาม
พระรูปหนึ่งบอกให้เราเข้าไปในกุฏิชั้นในเถิด เราทั้งสองตามเข้าไป แล้วจึงรู้ว่าท่านให้เราทั้งสองนอนค้างที่นั่น ฉันกับเพื่อนคลุมโปงอย่างหนาวสั่น เพิ่งรู้ว่ารอดตัวมาได้ โดยพระท่านกลับจากสวดศพทั้งสี่รูปพร้อมกับศิษย์วัด
ฉันเล่าเรื่องให้ท่านฟังได้เอาตอนเช้า พระแก่พูดว่า เอ้า! โยม ก็ได้หวยแล้วนี่ ฉันกับเพื่อนนึกไม่ออกว่าได้หวยตัวอะไร พอลาพระท่านแล้ว ขากลับกลับอีกทาง พอออกพ้นวัดพบร้านเหล้าก็ดื่มเอาอย่างกระหาย พอเหล้าเข้าไปอบอุ่นก็นั่งคิดว่า ที่พระท่านพูดว่าโยมก็ได้หวยแล้วนั้นหมายถึงอะไร เลยคิดออกทันที ก็คือ ผ. ผี นั่นเอง”
“ลุงแทงหรือเปล่าครับ” ผมถามแก และใคร ๆ ก็รุมถามกันอีก หลายคนโต๊ะอื่น ๆ ต่างมารุมฟังกัน ผิดกว่าตอนแรก ๆ ที่นั่งกันคนละโต๊ะ ตอนหลังนี้มายืนล้อมฟังกันแน่น
“แทงซิคุณ ผมแทง ผ. ผี เช้าตัวเดียว ไม่เล่นค่ำเลย” แกว่า
“ถูกไหมคุณตา” คนหนุ่มเดิมถามขึ้น
“ถูกสิคุณ โฮย! แทบตาย กว่าจะถูก” แกว่า
ผมจัดแจงจ่ายค่าเหล้าให้แกตามสัญญา แล้วลากลับบ้าน รีบบันทึกเหตุการณ์ของนักนั่งหวยมาให้ฟังดังนี้
เหม เวชกร