ตะเกียงพี่เพิก | เรื่องเล่าสยองขวัญ
สมัยเมื่อตอนเป็นเด็ก ย้อนกลับไปเกือบห้าสิบปีก่อน บ้านผมอยู่หนองแค สระบุรี พ่อกับแม่ค้าขายอยู่ในตลาดใกล้ ๆ บ้าน พอถึงหน้าฝน คืนไหนฝนตกพวกเราก็จะออกไปตีกบกัน ได้มากินบ้างขายบ้างไปตามเรื่อง
แต่เมื่อผมอายุสิบกว่าขวบ พ่อก็ส่งมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ อยู่วัดหน้าตลาดเทเวศร์กับหลวงลุง ปิดเทอมทีถึงได้กลับบ้าน
ครั้งนั้นโรงเรียนปิดเทอมเดือนสิงหาคมกับธันวาคม ครั้งละครึ่งเดือน เรียกว่าเทอมต้นกับเทอมกลาง อันมีเหตุผลว่าให้เด็ก ๆ กลับไปช่วยพ่อแม่ทำนา หรือช่วยเลี้ยงน้องอยู่กับบ้านก็ยังดี เพราะฤดูฝนเป็นหน้าทำนา พอถึงฤดูหนาวก็ได้เวลาเกี่ยวข้าวแล้ว
ผมไปเจอะเจอประสบการณ์สุดหลอนตอนปิดเทอมต้นนั่นเอง!
ฤดูฝนก็ดีไปอย่าง ไม้ไร่เขียวชอุ่มพอ ๆ กับข้าวกล้าในนา อากาศเย็นสบายชวนนอน ยกเว้นวันไหนฝนตกตอนบ่ายหรือเย็น พอตกค่ำกบก็ส่งเสียงร้องกันระงมเหมือนจะยั่วเย้าชักชวนให้เราไปทำบาป หน้าที่ของพวกเราก็แค่ฉวยตะข้อง ไฟฉาย กับท่อนไม้กำลังเหมาะ ๆ มือ ก็ออกไปล่าเจ้ากบตัวโต ๆ เนื้อหวานกันได้แล้ว
คืนนั้นก็เช่นกัน ผมเพิ่งกลับมาถึงบ้านได้แค่วันเดียว ฝนเทลงมาตอนเย็นเหมือนฟ้ารั่ว พอค่ำหน่อยก็มีเพื่อน ๆ มาตะโกนหน้าบ้าน
“เฮ้ย! ไปตีกบกันโว้ย”
ตอนนั้นผมอายุย่างสิบห้า ใจคอกำลังคึก คว้าอุปกรณ์ตีกบได้ก็โดดลงไปสมทบกับเพื่อนสองคน เจ้าเก่งถือไม้ยาวแขวนตะเกียงกระป๋องนม เจ้าจ๊อดกับผมใช้ไฟฉายสามท่อน ไม้คนละอัน ที่ขาดไม่ได้คือข้องใส่กบสะพายไหล่คนละใบ
บอกตรง ๆ ว่าตอนที่เดินออกทุ่งนาไปด้วยกัน ผมสังหรณ์ถึงอะไรบางอย่าง แต่จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออกว่าสังหรณ์ถึงอะไร คืนฝนพรำเช่นนี้พอแหงนมองท้องฟ้าก็พบแต่ความมืดสลัว บรรยากาศขมุกขมัวอย่างบอกไม่ถูก
เสียงร้องโอ๊บ ๆ ดังอยู่รอบตัว เราแยกย้ายกันไปพลางก้มหน้าก้มตามองหาเหยื่อ เสียงหวดไม้ดังขึ้นเป็นระยะ ตามด้วยเสียงร้องของเจ้ากบตัวเขื่อง จะว่าไปก็น่าสงสารเหมือนกัน แต่ทำใจว่ามันคืออาหารของเรา เมื่อคิดได้อย่างนั้นความรู้สึกผิดก็ลดลงไปได้มากโข
ผมสอดส่ายสายตามองหาเหยื่อ แต่แล้วจู่ ๆ สรรพสิ่งรอบตัวก็ตกอยู่ในความเงียบงัน สายลมที่เคยพัดโชยกลับหยุดนิ่ง เสียงกบร้องก็เงียบหายไป แต่อากาศดูจะหนาวเย็นยิ่งกว่าเดิมจนผมขนลุก รู้สึกเอะใจจนเหลียวมองไปรอบ ๆ ตัว แต่ในความมืดสลัวกลางทุ่งนาก็มองไม่เห็นอะไรเลย
มีแสงไฟวูบวาบโผล่ขึ้นมาตรงนั้นทีตรงนี้ที เห็นแล้วก็พอจะทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่ผิดสังเกตตรงที่พอมองเห็นปุ๊บมันก็ดับปั๊บ จู่ ๆ ก็ไปโผล่ที่อื่น เวลานั้นยอดไม้ตามหัวคันนาเริ่มสะบัดใบซู่ซ่า ตอนแรกเล่นเอาเกือบสะดุ้ง เพราะไม่มีลมพัดเลยสักนิด ไหงมันสะบัดขึ้นมาได้ล่ะ!
…ว่าแต่เจ้าเก่งกับเจ้าจ๊อดมันหายไปไหนแล้วล่ะ
ทันใดนั้นเอง ผมเหลือบไปเห็นแสงไฟวอมแวมอยู่กับที่ เพ่งมองให้แน่ใจก็ยังเห็นอยู่ตามเดิม ผมคิดว่าต้องเป็นเจ้าเก่งแน่แล้ว เพราะมันใช้ตะเกียงกระป๋องนมแขวนไม้ ที่อีกด้านหนึ่งเป็นปลายแหลม ๆ สำหรับปักดิน จะได้ใช้สองมือตีกบให้ถนัด
“ไอ้เก่งโว้ย! วู้…”
ผมตะโกนพลางย่ำดินแฉะ ๆ เข้าไปหา ถึงไม่ได้ยินเสียงตอบกลับก็ไม่เป็นไรเพราะใกล้ถึงดวงไฟเข้าไปทุกที ท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยวเงียบเชียบของกลางทุ่งนาในค่ำคืนที่เงียบสงัด
แต่ผิดคาด…แทนที่จะเป็นไอ้เก่งกลับเป็นพี่เพิก คนในหมู่บ้านเดียวกัน แกใช้ตะเกียงผูกปลายไม้แบบไอ้เก่ง จ้องมองผมแล้วยิ้ม ก่อนจะถามผมว่า ได้กบเยอะไหม ผมบอกว่าได้เกือบครึ่งตะข้องแล้ว แต่ความรู้สึกตอนนั้นอากาศมันหนาวจนทำเอาผมขนลุกวาบไปทั้งตัว
ฟ้าร้องครืนก่อนจะคำรามแปลบปลาบ ตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงสนั่นจนผมหูอื้อ!
…ไอ้เก่งกับไอ้จ๊อดร้องเรียกผม ครั้นหันไปมองก็เห็นพวกมันย่ำสวบสาบตรงมา ถามว่าทำไมถึงถ่อมาที่นี่ ผมก็บอกว่ามาเจอพี่เพิกนี่ไง
“เจอใครนะ!” ไอ้เก่งทำตาเหลือก “พี่เพิกโดนฟ้าผ่าตายไปตั้งเกือบเดือนแล้ว!”
ผมอดหัวเราะไม่ได้ หันขวับไปมองพี่เพิกก็พบเพียงความว่างเปล่า รอบ ๆ ตัวมีแต่ความมืดสลัว เพื่อนทั้งสองหันมองหน้ากัน พวกมันหน้าซีดเผือด รีบชวนผมกลับบ้านในทันที
เมื่อกลับมาถึงบ้านและรู้แน่ว่าพี่เพิกตายไปแล้วจริง ๆ จากวันนั้นมาผมก็เลิกตีกบเด็ดขาดมาจนถึงทุกวันนี้ คิดแล้วก็ยังขนลุกไม่หายครับ!